ยินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับคนใจช้ำที่ถูกย่ำยีมาไม่ว่าคุณจะเป็นใครเราคือเพื่อนกัน

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

ไดอารีสีดำ9


งานไหมเพิ่งจะเริ่ม
เราจะได้ออกมาเที่ยวอย่างนี้อีกวันไหนจ๊ะริญ เราถามเธอ
ริญไม่แน่ใจ ต้องขอแม่พ่อดูอีกครั้ง
บางที่เราอาจไปเปิดงานและปิดงานก็ได้นะ เธอบอก
ก็ดีสิริญ
ไม่ว่าวันไหนๆขอให้ทิวได้อยู่กับริญ
วันนั้นเป็นวันที่ทิวมีความสุขที่สุด
แม้เวลามันจะมากหรือน้อยก็ตาม

หวานก็เป็นนะทิวนี่ เธอเอ่ยเบาๆ
เรากลับกันเถอะริญ 
พ่อแม่ริญคงรออยู่ เราเตือนเธอ
แล้วเราก็เดินควงคู่กันไปส่งเธอจนถึงบ้าน แล้วก็ขอตัวกลับ


ความรักของเรานับวันยิ่งแนบแน่น
ใกล้ชิดสนิทสนม
เวลานี้ไม่ว่าเราจะมองไปทิศทางใด
โลกทั้งโลกมันเป็นสีชมพูสวยงาม
เรามีโอกาสได้ไปเที่ยวงานไหมในวันสุดท้ายอีกครั้งจริงๆ
ตามที่ริญเคยเปรยเอาไว้

เรานัดพบนัดเจอ
ติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์
นัดเจอที่ริมบึงสีฐานใต้สนคู่นั้น
หรือแม้กระทั่งมาส่งของเธอที่บ้าน
ก็ถือโอกาสนั่งเล่นพูดคุย


เราเติมรักให้กันทุกช่วงเวลาที่มีโอกาส
เราไม่เคยปล่อยเวลาให้มันผ่านเลยไป
โดยที่เราไม่มีเธอ
จนกระทั่ง
วันที่30 ธันวาคม
เป็นช่วงส่งท้ายปีเก่า
ต้อนรับปีใหม่

หนุ่มสาวคู่รักทั่วไปถือโอกาสอันดีนี้
พบปะนัดเจอกันตามแต่หัวใจเรียกร้อง
เพื่อทอถักสายใยรักให้กับคู่รักของตัวเอง

เราสองคนก็เช่นกัน
เราไม่พลาดโอกาสอันนี้เช่นกัน
ริญนัดเจอที่เก่าเวลาเดิม
ภายใต้ร่มเงาสนสองต้นคู่นั้น
ที่ริมบึงสีฐาน
ที่ซึ่งสองเราเทียวไปเทียวมาจนเรารู้สึกได้ว่า
ที่ตรงนี้จะเต็มไปด้วยกลิ่นอบอวนไอรัก
ของเราสองคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณนี้ไปแล้ว

เราเตรียมกล่องของขวัญที่ได้ตระเตรียมไว้ก่อนหน้าแล้วหลายวัน
ใส่ถุงกระดาษถือติดมือไปด้วยเพื่อมอบให้เธอ
พอไปถึงที่
ก็จะเหลือบมองเห็นริญ 
เธอมานั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้วอีกเช่นเคย

เราแอบซ่อนห่อของขวัญไว้ข้างหลัง
แล้วค่อยเดินย่องเข้าไปด้านหลังเธอ
ขณะที่เธอเองก็ยังไม่รู้สึกตัว
เราก็พูดเบาๆว่า
ริญทิวมาแล้ว

ริญเอี้ยวคอหันตามเสียง
พร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานๆให้
วันนี้มาแปลกนะทิว เธอพูดด้วยความสงสัย
สงสัยต้องมีอะไรแน่ๆเลย
นั่งสิจ๊ะ เธอเอ่ยเชิญ

แต่เรายังไม่นั่ง
พร้อมกับมือที่ซ่อนห่อของขวัญไว้ข้างหลัง
ดูริญเธอมีสีหน้าสงสัย

เราก็เอ่ยกับริญว่า
ริญจ้ะทิวมีของขวัญวันปีใหม่มาให้
พร้อมกับยื่นถุงห่อของขวัญส่งให้เธอ
เธอทำหน้างงเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มรับพร้อมกับยื่นมือมารับ

สวัสดีปีใหม่นะริญ
นี่จ้ะของขวัญจากคนจน เราสำทับออกไป
อะไรจ้ะทิว เธอเอ่ยถาม
อยากรู้ก็เปิดดูซิจ๊ะ เราบอกกับเธอ

ริญดึงห่อของขวัญออกจากถุงอย่างตั้งใจ
ปากเธอก็พร่ำไปเรื่อย
ดูซิว่าข้างในมีอะไร
ห่อมาซะสวยเลย
มือเรียวๆของเธอก็ค่อยๆแกะฉีกห่อของขวัญออก
ก็เจอกล่องกระดาษแข็งอยู่ข้างใน
เธอค่อยๆแกะกล่องกระดาษออก

แล้วเธอก็พูดขึ้นว่า เป็นกรอบรูปแน่เลย ดูซิรูปสาวคนไหนเอ่ย
เธอค่อยดึงออกมา แล้วหยิบขึ้นมาดู
พร้อมกับอุทานออกมาเบาๆ

อุ๊ย.!!
เก๋มากทิว
ทิวทำได้ไง
ทิวทำเองหรือจ้ะ
ริญชอบมากเลย
นี่มันเป็นบทกลอนที่เราแต่งวันนั้นนี่

ที่ริมบึง มีอึ่ง อยู่สองตัว
เป็นเมียผัว นัวเนีย คลอเคลียใกล้
ทุกเย็นย่ำ  สองอึ่ง มีสุขใจ
มาพรอดรัก  วางไข่  ไว้ริมบึง

เธออ่านอย่างตั้งใจและพูดว่า
ดูซิเขียนลายมือซะสวย
ตัดใส่กรอบติดริบบิ้นสีทองรอบกระดาษ
แถมยังมีใบสนแห้งวางแต่งที่ด้านล่างกรอบอีก
ต้องเป็นใบสนสองต้นนี้แน่เลย
ใช่มั๊ยทิว
แอบเก็บไปเมื่อไหร่เนี๊ย
เธอพูดไปโดยไม่ได้เปิดโอกาสให้เราได้พูดแทรกขึ้นเลย
เธอเพ่งดูอย่างพินิจ
ริญชอบมากขอบใจนะทิว
พูดจบเธอก็ดึงกรอบรูปนั้นมากอดแนบอก

ริญจะเก็บไว้ให้ดีที่สุดเลยทิว
ริญชอบทิวก็ดีใจแล้ว เราบอกกับเธอ
เดี๋ยว..นี่..ริญก็มี ของมาให้ทิวนะ
เธอล้วงมือเข้าไปในถุง
แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าสีชมพู ออกมาส่งให้
ริญไม่ได้ห่อมา ทิวไม่ว่านะ เธอออกตัว
สุขสันต์วันปีใหม่เช่นกันจ๊ะทิว
เดี๋ยวนะยังไม่หมด
มีอีก

นี่.....ด้วย
ริญทำเองกับมือเลยนะ
มีบทกลอนด้วยทิวอ่านดูสิจ๊ะ
ริญหัดแต่งอยู่ตั้งนานเลยนะกว่าจะได้

พูดจบเธอก็ยื่นให้
เรารับ ส...มาพินิจดู
เป็นกระดาษสาแผ่นแข็งสีเหลืองนวล
เธอวาดรูปดอกกุหลาบลงไปสองดอก
มีรอยระบายสีชมพูชัดเจน ทั้งสองดอกเคียงคู่กัน
เล็กๆถูกวางไว้มุมซ้ายด้านล่างของ ส...

ตรงด้านบน
เธอสลักบทกลอนด้วยลายมือ
เป็นลายเส้นหมึกสีแดงอย่างอ่อนช้อย

.ตัวแรก  แทรกจิต  ให้คิดถึง
.คำนึง ถึงอยู่  มิรู้หาย
.ตัวหลัง  ฝังจิต  คิดมิวาย
... แทนกาย  ด้วยใจจริง

รักทิวคนเดียว
...2528 จากวริญญา
วันเวลา
มันชั่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน
ขณะนี้วริญญาได้สำเร็จการศึกษาระดับ ม.6 แล้ว
และเธอก็ได้สอบเอนทรานซ์เข้าที่คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์ได้
สมดังใจของครอบครัวเธอ

ริญเปิดเผยเรื่องนี้กับเราหลายครั้งขณะที่เธอโทรไปหาที่ร้านและที่นัดพบกัน
ดูเธอจะกังวลใจเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัดเจน
เธอดูเงียบซึมจากการที่เคยเป็นคนร่าเริง
ชั่งพูดชั่งเจรจา
ในใจของเราเองก็คงไม่ต่างจากเธอ
หลายครั้งที่เราพยายามให้กำลังใจเธอ
แต่ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เราทำเช่นนั้น
กำลังใจของตัวเราก็นับวันจะดูถดถอยตามไปด้วย

เราสองคนหาทางออกไม่เจอ
ว่าอนาคตรักเราจะเดินไปในทางทิศใดได้
อนาคตของริญ
เธอก้าวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยฐานะทางครอบครัว
ฐานะทางสังคมของครอบครัวเธอ
มันชั่งดูห่างจากเราหลายชั้นนัก
ห้าปีจากนี้ไป
วริญญาก็จะเปลี่ยนสถานะทางสังคมใหม่ไปเป็นคุณหมอ

ส่วนตัวเรา
ก็คงยังเป็นเด็กส่งของเฝ้าหน้าร้านมอซออยู่เช่นเดิม
เมื่อถึงวันนั้น
เราไม่เพียงไม่คู่ควรกับเธอ
แต่ไม่แม้เพียงจะเดินเคียงข้างเธอ
อีกไม่นาน
แม่หงส์ทองที่สูงสง่า
ก็คงจะบินกลับเข้าไปอยู่ในหมู่หงส์
ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์สังคมดั้งเดิมของเธอ
ส่วนตัวเรา
ก็คือกาดำอยู่วันยังค่ำ
คิดมาถึงตรงนี้
น้ำตาของลูกผู้ชาย
มันไหลรินอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว

ขณะที่เรานั่งคิดอยู่
ก็มีโทรศัพท์หน้าร้านดังขึ้น
เรารีบปาดน้ำตาแล้วไปรับสาย

เธอใช่ไหมที่ชื่อทิว
เราตกใจ
เพราะคราวนี้ไม่ใช่เสียงของริญ
แต่เป็นเสียงผู้ชาย
ขณะที่เรากำลังอึ้งอยู่
เสียงชายคนนั้นก็พูดว่า
ฉันคือพ่อของวริญญา
ฉันมีธุระจะพูดคุยกับเธอโดยตรง
หลังจากเลิกงานแล้ว
ให้เธอมาพบฉันที่บ้านนะ
เธอรู้จักดีใช่ไหม
ตกลงตามนี้นะ
แล้วเขาก็วางสายไป

หัวใจของเรามันหล่นตุ๊บไปกองที่ตาตุ่ม
นี่กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่

เอาเถอะลูกผู้ชายเกิดหนเดียวตายหนเดียว
ไหนๆเราก็รักลูกสาวเขา
และลูกสาวเขาก็รักเรา
เธออยู่ที่นั่นทั้งคน
กลัวอะไร
เราคิดปลุกใจตัวเอง
แม้ความจริงในใจมันฝ่ออย่างบอกไม่ถูก
ที่จะได้เผชิญหน้ากับพ่อแม่เธอเป็นครั้งแรก

เมื่อปิดร้านเสร็จเราก็อาบน้ำแต่งตัว
หวีผมเผ้าซะดิบดี
วันนี้ไม่สวมหมวกแก๊ปคู่ใจ
แต่เป็นวันที่เราแต่งตัวตามกาละเทศะที่สุด

เมื่อเราเดินทางไปถึงบ้านริญ
ริญก็ออกมายืนคอยรับที่หน้าบ้าน
ริญส่งยิ้มให้แต่สีหน้าของเธอกลับไม่สดชื่น
ตามรอยยิ้มนั้น
เรารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่
พ่ออยากคุยกับทิว เรื่องของเรา
พ่อกับแม่รออยู่ในบ้าน
ทิวทำใจดีๆนะ ริญแอบกระซิบ

เมื่อเราก้าวขาเข้าไปในบ้าน
เราก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งนั่งรอที่เก้าอี้โซฟา
ดูท่าทางสง่าภูมิฐาน
บุคคลิกดูอบอุ่นท่าทางมีเหตุผล

ทิวจ๊ะนี่พ่อกับแม่ของริญ ริญแนะนำเรากับพ่อแม่
เรายกมือไหว้สวัสดีอย่างนอบน้อม

ทิวเหรอ
นี่เหรอชายหนุ่มที่ชื่อทิว
ที่ลูกสาวของฉันหลงไหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
เออ..มันก็น่าอยู่นะที่ลูกสาวฉันจะหลง
ท่าทางองอาจ กรำยำบุคลิกดี
นั่งสิ..นั่งๆๆ นั่งคุยกันก่อน คุณพ่อของริญออกปากเชิญ
เรากำลังจะนั่งลงตรงพื้น
พลันเสียงพ่อของริญก็ดังขึ้น
นั่งข้างบนซี
ฉันไม่ใช่คนถือยศถือสกุลอะไร
นั่งข้างบน นั่งข้างบน เอ้อ

ริญลูกออกไปรอข้างนอกก่อนนะ
พ่อกับแม่จะขอคุยธุระกับพ่อทิวก่อน พ่อของริญสั่งริญ

เมื่อริญเดินพ้นออกไปนอกห้อง
พ่อของริญก็เริ่มต้นเลย
ที่ฉันเรียกเธอมานี้เธอรู้ใช่ไหมว่าเรื่องอะไร
ยังไม่ทราบครับ เราตอบ
เอ้าเหรอ..ไม่เป็นไรๆ
คือเธอก็รู้ใช่ไหมว่าริญเรียนจบแล้ว
ครับเราตอบ
และก็สอบเอนทรานซ์ได้ที่กรุงเทพโน่น
ครับเราตอบ

คือในวันพรุ่งนี้ฉันกับแม่เธอจะเดินทางพาริญเข้ากรุงเทพ
เพื่อไปเรียนต่อ และระหว่างเรียนก็จะให้อาศัยอยู่กับบ้านปู่ย่าของเธอที่กรุงเทพ 
ซึ่งก็คือบ้านเดิมของฉัน
ปัญหาที่ฉันเรียกเธอมาก็คือริญจะไม่ยอมไป
ถ้าไม่ได้พบเจอเธอก่อน แล้วก็อิดออดมาหลายวัน
ฉันเห็นว่ามันจะเสียส่งผลต่อการเรียนต่ออนาคตเธอ
จึงต้องเรียกเธอมา

จากนี้ไปอีก 5 ปี ลูกสาวของฉันก็จะเป็นแพทย์เป็นหมอ
ส่วนเธอล่ะทิว
อีก 5 ปีเธอจะเป็นอะไร
คือฉันรู้เรื่องเธอจากปากริญหมดแล้วนะ
ไม่ใช่ฉันรังเกียจเธอ
แต่มันเป็นความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
เธอเข้าใจใช่ไหมที่ฉันพูด
เธอคิดดูอีกห้าปีลูกสาวฉันจะเป็นแพทย์
แล้วจะให้มีแฟนและแต่งงานกับคนส่งของอย่างนั้นหรือ

หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะทิว
ถ้าเธอเป็นฉันเธอก็คงทำเช่นเดียวกัน
เธอตัดใจจากลูกสาวฉันเสียเถิดนะ
ปล่อยเธอไปตามเส้นทางของเธอที่มันควรจะเป็น
วันนึงข้างหน้าถ้าเธอสามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาได้
วันนั้นเราค่อยมาคุยกันใหม่นะ

วันนี้ถือว่าฉันขอร้องเธอ
ให้พูดกับลูกสาวฉันยังไงก็ได้ให้เธอยอมไปเรียนแต่โดยดี
ฉันจะอนุญาตให้เธอไปส่งริญที่สถานีรถไฟพรุ่งนี้สามทุ่มครึ่ง
เธอตกลงไหม

น้ำเสียงที่ราบเรียบของพ่อริญ
ไม่ได้มีความดุดันอะไร
แต่ทำไม
ทำไมมันถึงได้เฉือนลึกเข้าไปในเนื้อหัวใจเราได้ถึงเพียงนี้
ใจความทั้งหมดก็มาสรุปอยู่ตรงที่เรานั้นมันต่ำต้อยติดดิน
ห่างชั้นกับริญราวหงส์กับกาดำ
ไม่มีทางที่จะร่วมคู่ครองรัก
กันได้ทุกกรณี

เธอรออยู่ตรงนี้นะ
ฉันกับแม่ริญจะออกไปข้างนอก 
พ่อของริญกล่าว พร้อมกับลุกเดินออกไปจากห้อง

สักพักริญก็เดินเข้ามา
เป็นไงบ้างทิว
พ่อกับแม่ว่าไงบ้าง
ริญเป็นห่วงทิวแทบแย่ ริญถามด้วยความห่วงใย

ไม่มีอะไรหรอก ริญ
พ่อกับแม่อนุญาตให้เราคบกันต่อไปได้
แต่ระหว่างนี้ริญต้องตั้งใจเรียนให้ดี
อย่าได้กังวลเรื่องของเรา
ผู้ใหญ่ท่านรับรู้แล้ว
ทิวว่าก็ดีนะ
ต่อไปเราจะได้คบกันอย่างเปิดเผย
พ่อบอกพรุ่งนี้อนุญาตให้ทิวไปส่งริญได้ที่สถานีรถไฟ
เราบอกกับเธอ

จริงหรือทิว จริงๆนะ เธอถามย้ำ
จริงจ้ะ เราตอบ
ริญยังจำคำสัญญาที่ริมบึงเราได้ไหม เราถามความทรงจำเธอ
จำได้สิจ้ะทิว เธอตอบ
เราสัญญาว่าไม่ว่าเวลาจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม
หรือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
รักของเราสองคนก็จะยังคงมั่นนิรันดร
มีแต่ความตายเท่านั้นที่จะพรากรักเราได้
เราทบทวนความทรงจำแห่งสัญญา

วันนี้ทิวอยากบอกริญอีกว่า
แม้ความตายก็จะไม่สามารถมาพรากรักเราได้
และทิวจะขอตั้งสัจจะวาจากับริญว่า
ชาตินี้ทิวเกิดมาเพื่อริญคนเดียว
และจะสร้างกุศลให้หนุนนำในชาติหน้า
ให้ก่อภพก่่อชาติผูกพันกับริญตลอดไป
ให้เราได้เกิดมาร่วมภพชาติกัน
และครองคู่อยู่ด้วยกันจนแก่ตายจากกันทุกภพทุกชาติไป

นี่คือคำสัญญาจากทิวอีกครั้งหนึ่งจ้ะริญ เราให้คำมั่นต่อเธอ
ริญซึ่งนั่งอยู่ข้างๆโน้มตัวเข้ามากอดเราเต็มแรงและรัดแน่น
เสมือนหนึ่งว่าไม่อยากให้หลุดลอยไป

เราได้ยินเสียงสะอื้นร่ำไห้เบาๆ
และน้ำเสียงพูดที่สั่นเครือของริญ
ริญดีใจที่ได้ยินทิวพูดเช่นนี้
และริญเองก็ขอยืนยันคำสัญญาที่ทิวพูดมาเมื่อสักครู่ตลอดไปเช่นกัน

ริญจะหมั่นติดต่อกลับมาหาทิวนะจ้ะ
ไม่รู้ว่าจะโทรศัพท์มาได้หรือเปล่า
เพราะริญเกิดและเติบโตที่ขอนแก่นนี่
ริญเกิดและโตในมอดินแดงแห่งนี้
ที่นี่คือบ้านเกิดของริญ
ริญไม่เคยไปอยู่กรุงเทพ
มีเพียงแค่คุณพ่อพาไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าเป็นครั้งคราวเท่านั้น
จากกันคราวนี้ไม่รู้เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีกทิว

ทำไมนะทิว
ทำไมตัวกับหัวใจถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ทำไมตัวกับหัวใจต้องแยกกันอยู่
ทำไมระหว่างความกตัญญูกตเวที
กับเรื่องของหัวใจไม่ไปด้วยกัน
มันยากจังเลยทิวถ้าจะให้เลือก
ระหว่างความกตัญญูกับหัวใจ
ริญพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุกข์ใจอย่างยิ่ง

ริญต้องเลือกความกตัญญูมาก่อน เราพูดแทรก
พ่อแม่มีบุญคุณกับเรา
ให้ชีวิตเรา
ให้การศึกษา
อบรมเลี้ยงดูเรา
และมีความหวังของทั้งพ่อทั้งแม่ให้เราแบกรับและสืบช่วงต่อ
ซึ่งเราจะละเลยไม่ได้ เราบอกกับเธอ

แล้วเรื่องของหัวใจล่ะทิว
เราไม่มีสิทธิ์เลือกชีวิตและทางเดินของตัวเองได้เลยหรือ
ริญไม่อยากแบกรับความหวังความต้องการของผู้อื่นไปทั้งชาติ
มันชีวิตเรานะทิว
เราควรที่จะมีสิทธิในการเลือกทางของเรา
และเมื่อเราเลือกแล้วตัดสินใจแล้ว
ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดีในอนาคต
ริญก็จะยอมรับมันและอยู่กับมันตลอดไป
ริญคิดของริญอย่างนี้น่ะทิว เธอกล่าว

แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียวนะริญ
เรามีสังคม
ทั้งสังคมรอบข้าง
ครอบครัว
แบบแผนทางวัฒนธรรม
ม่านประเพณี
บรรทัดฐานทางสังคมเหล่านี้มันล่ามคอเราอยู่
และที่สำคัญหน้าตา
มันเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญที่สุด เราพูดกับเธอ

ก็จริงอย่างทิวว่านะ
ทำไมนะทิว
ทำไมคนเราต้องสร้างกรอบสร้างตารางขึ้นมากักขังตัวเอง
ทำไมคนเราไม่ชอบชีวิตที่อิสระ เสรีภาพ ที่โบกบินไปไหนก็ได้ในโลกกว้างใบนี้
ไม่ต้องมานั่งปั้นแต่งหน้า

อยากกิน อยากนอน อยากเดินเล่น อยากพูด อยากหัวเราะ ตีลังกา หกคะเมน ก็ทำได้
ริญต้องการชีวิตอย่างนั้นมากกว่าทิว ริญบรรยายถึงความต้องการของเธอ

จ้ะริญ ..ทิวเองก็ต้องการชีวิตอย่างนั้น
ทิวว่าเราควรจะออกไปได้แล้ว
พ่อแม่รออยู่ เราเตือนเธอพร้อมกับลุกขึ้น

เดี๋ยวก่อนทิว
ริญลุกขึ้นแล้วก็เดินมากอดเราอย่างรัดแน่นอีกคราว
เราเข้าใจถึงความรู้สึกของเธอที่กำลังจะพลัดพรากจากรัก
ที่เคยใกล้ชิด เคยสัมผัส เคยสนุกสนานอยู่ท่ามกลางกลิ่นไอรักที่หอมอบอวนอยู่ทุกวัน
บัดนี้เมื่อรู้ว่าต้องจากก็ต้องโศกเศร้าเสียใจเป็นธรรมดา
เช่นเดียวกับในหัวอกเราก็ปวดร้าวยิ่งนัก
จนทนไม่ไหวที่จะยกมือขึ้นมาโอบกอดรัดเธออย่างตรึงแน่นเช่นกัน

จำคำสัญญาเราเอาไว้ริญ
เราจากกันแค่ตัว
แต่หัวใจเรายังอยู่ด้วยกัน
จะไม่มีใครมาพรากมันแยกจากกันได้
จ้าทิว..จะไม่มีใครมาพรากรักเราได้ เธอตอกย้ำคำพูดของเราให้มั่นคงยิ่งขึ้น

พรุ่งนี้ทิวจะออกมารอริญที่สถานีรถไฟตั้งแต่สองทุ่ม
ถ้ามีโอกาสให้ริญขอพ่อแม่ออกไปรอที่สถานีก่อนจะได้ไหม
ทิวอยากใช้เวลาอันมีค่านี้
อยู่กับริญให้ถึงนาทีสุดท้ายก่อนที่จะลาจากกัน เราเอ่ยปากขอเธอ

จ้าทิว..ริญจะลองขอพ่อออกมาก่อน ทิวมารอนะจ้ะ ริญตอบรับคำ

เราออกไปข้างนอกกัน เราบอกเธอ
แล้วเราก็เดินออกมา

เป็นไงเรียบร้อยไหม
เสียงพ่อของริญเอ่ยถาม
เรียบร้อยครับท่าน
ริญรับปากจะไปเรียน
 เอ้อๆๆ  ขอบใจ ขอบใจ ขอบใจนะ

แต่ท่านครับ เราแทรกขึ้น
ว่าไงทิว พ่อริญถาม
พรุ่งนี้ ผมขอพบริญ ก่อนเวลา รถไฟออกจากสถานีได้ไหมครับ ซักสองทุ่ม
 เราแข็งขืนพูดออกไปด้วยความร้อนใจก่อนที่ริญจะเอ่ยขอซะอีก
พ่อริญ เงียบสักครู่มองหน้าริญ พร้อมกับหัวเราะ เบาๆ
เอ้อ รักของวัยรุ่น มันรวดเร็วและรุนแรง
เอานะ ฉันเข้าใจ
เอาเป็นว่าฉันจะอนุญาตให้ริญไปพบเธอก่อนเวลารถออก พ่อริญรับคำขอ
เงียบเสียงพ่อริญ เราก็ยกมือไหว้ด้วยความขอบคุณ
และก็ลาครอบครัวเธอ กลับที่พัก

พอกลับถึงโกดังที่พักซุกหัวนอน
เราก็จัดแจงปูเสื่อผืนเก่าลงกับพื้น
หยิบหมอนมาวาง นอนเอนหลัง
กะจะให้มันหลับ

แต่ทำไมวันนี้ดวงตาของเรามันหลับไม่ลง
ผุดลุกผุดนั่งอยู่ทั้งคืน กระวนกระวาย
กระส่ายกระสับ
หัวใจมันรุ่มร้อน
เหมือนมีไฟกองใหญ่มาสุมใจเรา

เสียงหัวใจมันสะอื้นไห้จนอกสั่น
ครุ่นคิด นึกย้อนเข็มนาฬิกา
ทบทวนอดีต
ตั้งแต่มาเจอเธอ
ไม่มีเลยซักวันที่เราจะขัดใจกัน
ไม่มีเลยซักวันที่เราจะงอนหรือง้อกัน

แต่ทุกวันของเรา
มีแต่กรุ่นไอรักที่หอมหวาน
มีแต่ความสุขทุกช่วงเวลานาที
ทุกนาทีที่มันผ่านมา
มันเต็มไปด้วยรอยอดีตรักสองเราที่แสนจะงดงาม
นี่คงเป็นสวรรค์ลิขิตให้เรามารักกัน

แล้วทำไมล่ะ
แล้วทำไมเมื่อให้เรามารักกัน
แล้วสวรรค์ต้องมาพรากรักเราอย่างไม่ใยดีเช่นนี้

เราเคร่งเครียด
นอนคิดไปเรื่อยจนเผลอหลับไปยันเช้า

พอได้สติก็ตื่นล้างหน้าอาบน้ำแปรงฟัน รีบไปเปิดร้าน จัดหน้าร้านตามปกติ
แต่หัวจิตหัวใจของเราวันนี้มันไปนั่งคอย
รอริญอยู่ที่สถานีรถไฟก่อนที่จะถึงเวลาแล้ว
หัวใจมันเรียกร้องอยากไปที่นั่น

แต่อีกส่วนลึกของหัวใจ
ก็อยากให้เวลาของวันนี้มันยืดยาวออกไป อย่าให้มีค่ำคืนนี้เลย
ริญจะได้ไม่ต้องจากเราไป

แต่ความจริง 
แม้มันจะทำให้ใครต่อใครเจ็บปวด
แม้เราไม่อยากยอมรับมัน
แต่มันก็คือความจริง
มันคือสิ่งที่เราจะต้องเผชิญอยู่ข้างหน้า

ไม่แน่
นี่อาจจะเป็นบทพิสูจน์และบททดสอบที่สวรรค์จะใช้ทดสอบความรักสองเรา
เราต้องเข้มแข็ง เราต้องอยู่ต่อไปให้ได้
เราต้องรับบททดสอบนี้มาทำ
และก้าวพ้นผ่านมันไปให้ได้

เราทำงานในวันนี้ด้วยกายเท่านั้น
หามีใจและความกระตือรือล้นไม่
มันเฉื่อยชา ไร้เรี่ยวแรง
ภายในใจห่อเหี่ยว
เหนื่อยท้อ
เหมือนหัวใจจะขาดรอนๆ
ในที่สุดเราก็ฝืนมันผ่านพ้นไปได้จนเลิกงาน
เราไม่รีรอที่จะรีบเก็บของเข้าร้าน
ปิดหน้าร้าน
รีบวิ่งกลับไปโกดัง
ไปอาบน้ำท่าจัดแจงตัวเองจนเสร็จสรรพ
ก็ออกเดินตรงตามแนวถนนรื่นรมย์ไปยังสถานีรถไฟขอนแก่น
ตั้งแต่เวลาได้เริ่มต้นเพียงทุ่มนึงเท่านั้น
พอไปถึงเราก็เดินตรงไปที่ชานชาลา
หาที่นั่ง มองซ้ายมองขวา
เห็นผู้คนเดินหิ้วกระเป๋า
ถือข้าวของจูงลูกจูงหลานเดิน เข้าเดินออก
ขึ้น-ลงไม่ขาดสาย

เดี๋ยวรถไฟวิ่งเข้าเทียบชานชาลา
เดี๋ยวก็วิ่งออกจากชานชาลา
เดี๋ยวเสียงระฆังสัญญาณปล่อยรถดังครั้งแล้วครั้งเล่า
เรานั่งสังเกตดูจนเผลอลืมตัว

สักครู่ก็ได้ยินเสียง
พร้อมรู้สึกเหมือนมีมือมาแตะที่่หัวไหล่
ทิวจ้ะริญมาแล้ว เราหันไปมอง

ริญ เราอุทานออกมา
ริญขอพ่อออกมาก่อนเวลานิดหน่อย
นี่เพียงทุ่มเศษเท่านั้นเอง
เราจะไปไหนกันดีจ้ะทิว ริญถาม

งั้นเราไปเดินตลาดเดินห้างแถวนี้ก่อนดีไหมริญ เราเสนอ
ก็ดีจ้า เธอตอบ
แล้วเราก็เรียกสามล้อหน้าสถานีปั่นพาเราไปที่ตลาดเก่ากลางเมืองขอนแก่น
เราสองเข้าไปเดินห้าง แฟรี่ทาวน์ ห้างเซ็นโทซ่า ซื้อข้าวของ
ให้ริญไปหลายอย่าง

ยังพอมีเวลาเหลือ เราก็ชวนกันไปไหว้พระที่วัดศรีจันท์ ที่อยู่ใกล้ๆ
แล้วก็นั่งสามล้อไปไหว้พระธาตุขามแก่น ซื้ออาหารไปนั่งกินกันที่ริมบึงแก่นนคร
จนเวลาใกล้สามทุ่ม

เราสองคนก็เรียกสามล้อพากลับสถานีรถไฟ
พอถึงสถานีเราสองคนก็ได้เดินเกี่ยวแขน
และเดินลอดขอนแก่นที่อยู่หน้าสถานีรถไฟนั้น
ก่อนจะเดินขึ้นไปด้านบนของชานชาลา

ริญมีความสุขมากทิว ริญพูดขึ้นมา
ทิวก็เช่นกัน ริญ เราตอบกลับ

ทิวจ้ะ
ทิวอย่าลืมแวะไปที่ริมบึงสีฐาน
ที่ใต้ต้นสนคู่นั้นนะจ้ะ
ริญคงคิดถึงมันมาก
เพราะริญเคยวิ่งเล่นนั่งเล่นอยู่ที่นั่น
ตั้งแต่ริญเด็กๆ
เวลาโกรธงอนพ่อแม่ริญก็หนีมานั่งริมบึงนี้
จนมาพบกับทิว
เราก็ใช้สถานที่ตรงนี้เป็นที่สานก่อรักเรา
ริญคงคิดถึงมันมาก
ริญไม่เคยจากมันไปนานๆซักที ริญพร่ำอาลัย

ทิวรับปากริญว่าทุกเย็นหลังเลิกงาน
ทิวจะมานั่งที่นี่ทุกวัน
ให้เหมือนกับตอนที่ริญยังอยู่ที่นี่
ทิวสัญญาจ้ะ

สักครู่เดียวพ่อกับแม่ริญ
ก็เดินขึ้นมา
เอ้า..อยู่ที่นี่กันเอง พ่อริญพูด
เรารีบลุกขึ้นสวัสดียกมือไหว้พ่อกับแม่ริญ
และช่วยเดินไปถือข้าวของเครื่องใช้ของริญ
มาวางไว้ริมชานชาลา
บริเวณที่รถไฟจะเข้าเทียบท่า
สักครู่
ทางสถานีก็ประกาศ
ว่าอีกห้านาทีขบวนรถไฟดีเซลรางเที่ยวล่อง
หนองคาย-กรุงเทพกำลังจะวิ่งเข้ามาเทียบท่า
ขอให้ผู้โดยสารออกจากบริเวณแนวเส้นเพื่อความปลอดภัย

ชั่วอึดใจเดียวก็มองเห็นไฟพุ่งสว่างจ้าเข้ามาพร้อมเสียงหวูดแตร
ที่ดังลั่นพร้อมกับเสียงประกาศจากสถานีว่า
รถไฟเที่ยวล่องหนองคาย-กรุงเทพ ได้เข้าเทียบท่าชานชาลาแล้ว
พ่อริญและแม่รีบลุกเดินถือกระเป๋าก้าวขาขึ้นบนรถ
เรารีบช่วยริญถือกระเป่าเดินขึ้นไปส่ง
แล้วก็รีบลงจากรถมายืนรอริญอยู่ชานชาลา
สักครู่ริญก็เปิดหน้าต่างยื่นชะโงกหน้าออกมา
ริญต้องไปแล้วนะทิวพร้อมยื่นมืออกมานอกรถ
เรายื่นมือไปคว้ามือเธอ

สักครู่เสียงระฆังสัญญาณปล่อยรถก็ดังขึ้นพร้อมเสียงหวูดแตร
ทันที่ที่ล้อขยับหมุน ขบลางเหล็กดังกึกกักๆๆ
เราสองก็รู้ทันทีว่าเวลาจากกันมาถึงแล้ว หมดเวลาเราแล้ว
เมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากสถานี
เราก็วิ่งตามจนรถพ้นสถานีและยืนมองเห็นริญชะเง้อหน้าโบกมือลาอยู่ไกล
จนขบวนรถเลือนหายไปลับตา
พร้อมกับหัวเข่าของเราก็อ่อนแรงนั่งทรุดลงกับพื้น
อยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินย้อนกลับมายังสถานีด้วยความอาลัยรัก

หลังจากขบวนรถไฟเคลื่อนออกจากสถานีจนลับหายไป
เราก็มานั่งทอดอาลัยที่หน้าสถานีต่ออีกตั้งนาน
ก่อนจะลุกขึ้นเดินอย่างหมดอาลัยตายอยาก
กลับยังที่พักซุกหัวนอน
เราปูเสื่อและคว่ำหน้าทิ้งตัวลงนอน
เพื่อจะผ่านพ้นคืนวันที่โหดร้ายนี้ไปให้ได้
แต่ยิ่งข่มตา จิตใจมันก็ยิ่งคิด
สมองมันคิดสับสนวุ่นวาย
วกเวียนไปหา
จนสว่างคาตา


                                            





สถานีรถไฟขอนแก่น


ขอนแก่นที่เห็นนี้ตั้งอยู่ด้านหน้าสถานีรถไฟขอนแก่น



สถานีรถไฟขอนแก่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น