ยินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับคนใจช้ำที่ถูกย่ำยีมาไม่ว่าคุณจะเป็นใครเราคือเพื่อนกัน

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ฝนหลั่งมาน้ำตาพี่หลั่งริน



เคยถามตัวเองเสมอว่า เรามีชีวิตอยู่ในวันนี้เพื่ออะไรกัน

การที่ใครคนหนึ่งต้องอยู่อย่างเดียวดาย และทรมาน
 เมื่อคนรักกันมาตายจากกันไป
ตั้งแต่วัยหนุ่มวัยสาว
มันเป็นอะไรที่ เจ็บปวด ทรมานที่สุด
มันเหมือนกับว่า ชีวิตของเราต้องแบกรับ
ทุกสิ่งทุกอย่างไว้บนบ่าเพียงลำพังคนเดียว
มันแสนทรมาน
ถ้าเลือกได้ ฉันอยากขอตายตามเธอไปจะดีกว่า
การมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวด ขื่นขม
ที่คนรักกัน คนที่มีความหวัง มีความฝันด้วยกัน มาลาจากโลกไป
ฉันอยากจะถามเหมือนกันว่า

ใครจะเข้าใจความรู้สึกของฉันบ้าง
ใครจะมีชีวิตอย่างไรบ้าง ถ้าตกอยู่ในสภาวะเดียวกับฉัน

การที่มีชีวิตอยู่ แต่ไร้หัวใจ ไร้จิตวิญญาณ
ชีวิตที่เหลือมันก็แค่ร่างที่ตายซาก
ยากที่จะรักใครได้อีก
เพราะเราจากกันทั้งที่เรายังรักกัน
ไม่มีวี่แววว่ารักเราจะจบลงเช่นนี้
แต่มันก็เกิดขึ้นและเป็นไปแล้ว สำหรับเส้นทางชีวิตฉัน

เหมือนรอยกรรมที่ฉันเคยทำแต่ชาติปางก่อนจะย้อนกลับมาเล่นงานฉัน
ฉันไม่รู้หรอกว่า เมื่อภพชาติที่แล้วฉันไปพรากรัก พรากลูกนกลูกกาแต่ใดมา
ฉันจึงต้องมาลิ้มรสความเจ็บปวดทรมานเช่นนี้

ชาตินี้ ฉันเฝ้าเพียร สละตนเอง เพื่อ ภพชาติต่อไป
อย่าให้ฉันได้มีชีวิตเหมือนกับชาตินี้อีกเลย
ฉันเจ็บ ฉันปวด ฉันทุกข์ ฉันทรมาน ฉันโศกเศร้า อย่างแสนสา
และดูเหมือนว่าเส้นทางรัก เส้นทางใจของฉัน
จะถูกเขาลิขิตเอาไว้แล้ว
ให้อาภัพ มีรักก็เหมือนไม่มี มีคู่ก็เหมือนไม่มีคู่
ช่างหดหู่นัก

ทุกวันทุกเวลา ที่ฝนฟ้ามืดดำมาคราใด
ฉันเจ็บที่ตรงแผลใจทุกครั้ง ที่สายฝนหลั่งริน
สายฝนมันกรีดซ้ำตรงที่แผลใจของฉัน ไม่ให้หายสนิทซักที

ทุกครั้งที่ฝตก ภาพรักของฉันและเธอในอดีตก็มักลอยขึ้นมา ในความทรงจำของฉัน
ฉันเจ็บปวดฉันร้องไห้ วันที่เราต้องพลัดพรากจากกัน
เหตุการณ์ในวันนั้น ยังตามมาหลอกหลอนฉันอยู่ในวันนี้ 
ไม่มีวันจะลบออไปจากความทรงจำได้เลย

ฉันต้องการใครซักคนมาลบรอยความทรงจำนี้ แต่ดูเหมือนว่า
ในมือเธอ ถือมีดถือปืนมา ระดมยิงกระหน่ำแทงใส่ฉัน
จนหัวใจที่มีแผลของฉันมันย่ำแย่

ถึงวันนี้ ฉันแน่ใจแล้วว่าคนที่เกิดมาเพื่อฉัน 
เพื่อรักฉันมีแต่เธอเท่านั้น วริญญา

รอพี่นะคนดี คงไม่นานหรอก เมื่อพี่สิ้นเวรสิ้นกรรมในภพนี้แล้ว
 เราจะได้อยู่ด้วยกันอีกครา












วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กุญแจใจ


กุญแจไขใจ

กุญแจใจ พี่มอบให้ เธอไปแล้ว
แม่น้องแก้ว  โยนทิ้ง  ไว้ที่ไหน
ไม่เห็นค่า ไม่รักษา ไม่ใส่ใจ
โยนทิ้งไป ปล่อยใจ  พี่หมองตรม
เมื่อไม่มี กุญแจ  ที่จะไข
ต้องใช้ใจ ไขใจ ให้เหมาะสม
อาจเปิดได้  ถ้าใจ ยังนิยม
แต่หัวใจ  หมองตรม เกินเยียวยา
เปิดเข้ามา ข้างใน  ห้องใจพี่
ในตอนนี้ คงไร้  ของมีค่า
มีแต่ใจ โทรมโทรม ถูกย่ำมา
มีแต่คราบ น้ำตา เมื่อวันวาน
มีแต่รอย แผลใจ ที่ฝังลึก
มีแต่ความ  รู้สึก  เกินสมาน
มีแต่ผง ยักไย่ เกาะมานาน
แม่นงคราญ  คงไม่ มาใยดี
หัวใจเก่า  ปวดร้าว  จนย่ำแย่
มีแต่แผล  ภายใน จนป่นปี้
จะซ่อมแซม เท่าใด จะคืนดี
คงอดทน หลายปี หากฟิ้นคืน
หากว่าเธอ ยังมอง  เห็นคุณค่า
เปิดห้องใจ  เข้ามา กล้ากล้าฝืน
ทนปัดกวาด  เช็ดล้าง เถิดขวัญยืน
มันอาจฟื้น  คืนได้ ถ้าใยดี
ใจของพี่ ดวงนี้ เคยงดงาม
เคยถูกถาม ถูกตาม ไปหลายที่
เคยมีคน รุมล้อม พร้อมยอมพลี
เพื่อให้ได้ ใจนี้ ไว้ครอบครอง
หากมันฟื้น  คืนได้ เหมือนดั่งว่า
หากสวรรค์ เมตตา ใจเราสอง
คงได้แอบ อิงซบ พบขุมทอง
เปิดเข้ามา เถิดน้อง พี่ก้องรอ






วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

รักแท้จากใจ


มีของดี พี่นี้  ก็อยากให้
มีของใหญ่ พี่นี้ ก็เรียกหา
อยากให้เธอ ได้เห็น จนเต็มตา
ของที่พี่ หามา ใหญ่เท่าใด
คนรักกัน  เขาก็ ทำอย่างนี้
มีของดี  เขาก็ อยากมอบให้
พี่อยากป้อน  ใส่ปาก ให้ทรามวัย
อยากให้กิน คำใหญ่ ให้อิ่มนาน
หวานอันใด ไม่เท่า หวานลมปาก
แม้จนยาก ไม่แคล้ว  แพ้ความหวาน
หวานลมลิ้น ลืมสิ้น กลิ่นอ้อยตาล
มีความหวาน มีเยื่อ มีสายใย
ทุกค่ำเช้า  พี่เฝ้า แต่ปองรัก
อยากสลัก ความรัก ของพี่ไว้
อยากสลัก  รักแท้ ไว้กลางใจ
เพื่อใจเธอ จะได้ ไม่ลืมเลือน
พี่เฝ้ามอง  นวลน้อง  ทุกช่องทาง
เพื่อดูนาง มิให้  หายคลาดเคลื่อน
เพื่อมิให้  ความรัก  นั้นลางเลือน
เพื่อจะเตือน ว่าใจ  ฉันรักเธอ
เห็นไฟเขียว แจ้งเตือน  เพื่อนทางไลน์
เธอรู้ไหม หัวใจ  พี่มันเพ้อ
พี่อยากแชท  ทางไลน์ คุยกับเธอ
แต่ก็กลัว  พลั้งเผลอ ปล่อยน้ำตา
ที่ผ่านมา แม้ว่า จะเจ็บปวด
เหมือนโดนนวด โดนหวด  อย่างแสนสา
พี่ปวดใจ  ร้องไห้ กินน้ำตา
ทรมา ยากแท้ จะทำใจ
ไม่เคยมี วันใด ไม่คิดถึง
ยังคนึง  ห่วงหา  อยากชิดใกล้
แม้รู้ว่า เส้นทาง เราห่างไกล
แต่หัวใจ  พี่ไม่ เคยห่างเลย
ไม่รู้หรอก รักเธอ ที่ตรงไหน
ลองถามใจ  มันก็ ไม่เปิดเผย
รู้เพียงว่า  สี่ห้องใจ  ให้หมดเลย
อยากเปิดเผย  ต่อหน้า คราเจอกัน

พี่อยากบอก ให้รู้  ว่ายังรัก
ยังแน่นหนัก  คำรัก  ยังคงมั่น
รักของพี่ คนนี้ ชั่วนิรันดิร์
แม้ร่วมฝัน มิได้ มิคลายคลอน


รักเธอเกินกว่าจะทำลาย

คำร้อง ทำนอง ก้องกังวาล ทองเนตร







วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

รักแท้ไม่มีสเป๊กซ์



รักแท้ไม่มีสเป๊กซ์

พูดถึงความรัก พูดถึงคนที่จะมาอยู่ใกล้ชิดหัวใจ เชื่อว่าคนทุกคนต่างมีความต้องการ
มีความปรารถนาของตัวเองทั้งสิ้น ทุกคนอยากได้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเองทั้งสิ้น
เช่นบางคนจะตอบว่า คนที่ฉันจะแต่งงานด้วยนะเหรอ

ต้องสวย ต้องดี  หรือต้องหล่อ ต้องเท่ ก็ว่ากันไป
สำหรับตัวฉันเองก็มีสเป๊กส์ในหัวใจเหมือนกันคือ

รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสวย สะอาด อ่อนโยน จิตใจงดงาม มีเหตุผล มีจิตอาสา
มีการศึกษา มีมุมมองต่อสังคมแง่บวก มีไอคิวดี มีอีคิวดี 
ส่วนใบหน้าจะสวยไม่สวยก็ไม่เป็นไร
ขอหลักๆคือ สูงโปร่ง ผิวสะอาดไม่สกปรก ก็พอ
และที่สำคัญคือ คนคนนี้จะอยู่กับเราทั้งชาติ จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีเหตุผล
รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว พูดง่ายๆคือ มีอีคิว หรือระดับจิตใจที่งดงาม
และคนคนนี้จะต้องมาเป็นแม่ของลูกเราด้วย ต้องมีสุขภาพแข็งแรง
ไม่เป็นโรคติดต่อทางกรรมพันธุ์ และต้องมีระดับสมองหรือ ไอคิวดีด้วย

เพราะต้องเป็นภรรยาที่ดีให้สามี
ต้องเป็นแม่ที่ดีให้ลูกๆ
ต้องเป็นครูที่ดีของลูกได้
หมายความว่าเมื่อลูกกลับจากโรงเรียนมา มีการบ้านมา 
แม่ต้องสอนการบ้านให้ลูกได้ด้วย
ไม่ใช่ได้เมีย ได้ผัวแล้ว เสียไปถึงลูกถึงหลาน

หน้าตาสวยหน้าตาหล่อไม่ได้บ่งบอกว่ามี ระดับ อีคิวดี ไอคิวดี
สิ่งเหล่านี้ เราต้องสัมผัสใกล้ชิดเราจึงจะรู้จะเห็น

คือได้ภรรยามาต้องมีคุณสมบัติ ดีกว่าเด็กนั่งดริ้ง หรือโสเภณี
ที่พูดไม่ได้ดูถูก คนสองอาชีพนั้น แต่หมายถึง ได้เมียมาแล้วมิใช่ทำเป็นแค่ 
นอนแบถ่างขาเหมือนโสเภณี และวันๆไม่ทำอะไรทำได้แค่ นั่งดริ้ง นั่งถองเหล้า
ทั้งที่หน้าที่ภรรยา ไม่ใช่มีแค่นั้น

ถ้าได้ตามสเป๊กซ์นี้ ตายก็นอนตายตาหลับ

ที่ว่ามาทั้งหมดมันเป็นความปรารถนา หรือความต้องการที่เราอยากได้
แต่โลกความจริง มันมิใช่อย่างนั้น

ความรักมันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
มันมักจะมีเรื่องอย่างอื่นมาสอดแทรก โดยที่เราอธิบายเหตุผลไม่ได้บ่อยครั้งไป
เช่นฉันต้องการคนสูงโปร่ง แต่บางครั้งเจอคนเตี้ยติดดิน หรือเรียกว่าเตี้ยจนหมาตื่น
ใจเรามันก็ดันชอบให้ก็มี เราชอบคนที่มีใจอ่อนโยน มีเหตุผล แต่พอเจอคนที่ก้าวร้าว 
ไร้สติไร้เหตุผล ใจเรามันก็ดันปรับตัวเองให้รับได้ซะงั้น
เราชอบคนจิตอาสา มองโลกแง่ดี แต่กลับเจอคนสุดที่จะเห็นแก่ตัว 
มองโลกแง่ร้ายด้านลบสุดโต่ง ใจเรามันก็พยายามปรับเปลี่ยนเธอเสียให้ได้
กลายเป็นว่า คุณสมบัติที่เราไม่ต้องการ มันกลับมาเป็นเครื่องมือทดลอง
ความสามารถของเราเองว่าจะสามารถปรับตัวรับ 
หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเธอเหล่านั้นได้ไหม

มันคงเป็นเรื่องยากถ้าจะไปเปลี่ยนแปลงนิสัยที่กลายเป็นสันดานไปแล้วของใครซักคน
แต่ใจก็มักเชื่อว่า คนเราทุกคน ลึกๆในใจแล้ว อยากได้สิ่งดีให้ตนเองทุกคน
อยากมีครอบครัวที่ดี ที่มีความสุข อบอุ่นทุกคน

เมื่อฉันใช้รัก ใช้ความจริงใจเป็นตัวเชื่อม
เพื่อให้เธอรู้ว่าฉันจริงใจ ฉันมั่นคง ฉันยินดีก้าวไปพร้อมกับเธอทุกเวลาไม่ว่าสุขทุกข์
ฉันเชื่อว่าวันนึงเธอคงเข้าใจในสิ่งที่ฉันทำเพื่อเธอ

นี่จึงเป็นตัวอย่างว่า รัก กับสเป๊กซ์มันเป็นคนละเรื่องจริงๆ
รักเป็นเรื่องนอกเหนือเหตุผล ส่วนสเป๊กซ์ เป็นวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เราต้องการ
จากประสบการณ์ที่เราเคยพบเคยเจอมา เราจึงรู้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี
เราจึงอยากได้สิ่งดีให้กับตัวเราเอง

ถ้ารักแท้แล้วได้ตามสเป๊กซ์ คนคนนั้นนับว่าโชคดีที่สุดในการเกิดมาชาตินี้
แต่ส่วนใหญ่ สเป๊กส์มักกลายเป็นความฝันลอยๆในอากาศเท่านั้นเอง
เพราะรักแท้มันไม่มีสเป๊กซ์


รักเธอเกินกว่าจะทำลาย

คำร้อง ทำนอง ก้องกังวาล ทองเนตร


วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไดอารีสีดำตอนจบ

คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ




ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เราดีใจและตื่นเต้นขนาดไหน

ที่เรารักกันมาเป็นเวลาช้านาน
ต้องพลัดพรากจากกัน จนเกือบจะไม่ได้พบเจอกันอีก
แต่เราก็กลับมาพบกันได้
นั่นเป็นเพราะว่าภายในจิตใจเราทั้งสองคน
ยังยึดมั่นในรักซึ่งกันและกัน
มั่นคงในรักแท้มาตลอดเวลา
ถึงแม้ว่าบางครั้งกายเราจะห่างไกลกัน
แต่สำหรับหัวใจเรา
ยังใกล้ชิดกัน ไม่เคยห่างกันแม้เวลานาทีจะเปลี่ยนไป
หรือตัวเราจะไกลห่างเพียงใด

เช้ามาเรารีบไปรับริญเพื่อไปดูชุดที่จะมาสวมใส่กัน

ในวันสู่ขอเธอในครั้งนี้
วริญญาเลือกชุดไทย เป็นผ้าไหมสีชมพู ซึ่งเป็นสีที่เธอโปรดปราน
ส่วนตัวเราเลือกสูทสีขาวทั้งชุด
เมื่อลองชุดจนแน่ใจว่าสวมใส่ได้พอดี
เราก็นำชุดกลับมาด้วย
และพาเธอไปดูสร้อยแหวน พอเป็นพิธี
ซึ่งตัวริญเอง เธอได้ออกปากว่า อย่าแสวงหาสิ่งของอื่นใดมาอีกเลย เท่านี้เธอก็พอใจแล้ว

เราพาริญไปส่งที่บ้านคุณย่า
ส่วนเราก็กลับไปเตรียมตัวที่คอนโด และนัดหมายกับคุณกิตติพงษ์ และพี่พงษ์
ให้มาพร้อมหน้ากันที่บ้านคุณย่าริญ เวลาประมาณ หนึ่งทุ่ม

เมื่อได้เวลานัดหมาย
แขกผู้ใหญ่ที่นับถือของแต่ละฝ่ายก็พร้อมเพรียงหน้ากันแล้ว
เรากับริญเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งคู่
เมื่อมาพร้อมหน้ากันครบแล้ว
คุณย่าของริญก็เป็นผู้เปิดเรื่องทั้งหมด
ว่ายังไง พ่อสุพจน์แม่อรพิน
เมื่อทิวมาสู่ขอตามประเพณีแล้ววันนี้
พวกเธอสองคนในฐานะพ่อกับแม่จะว่ายังไง

พ่อสุพจน์ซึ่งเป็นพ่อของริญก็เอ่ยขึ้นว่า
คุณแม่ครับ เด็กสองคนนี้รักกันมานานตั้งแต่ยังเด็กอยู่ที่ขอนแก่นโน้น
ตั้งแต่ทิวยังเป็นเพียงแค่เด็กส่งของอยู่เลย
ตอนนั้นผมกับแม่ริญเขาได้พยายามแยกพวกเขาออกจากกัน
แต่ก็ไม่สามารถ แยกใจของพวกเขาทั้งสองได้
เมื่อลูกทั้งสองมีความรักที่มั่นคง

โดยเฉพาะทิว เธอได้พิสูจน์แล้วว่า เธอมีความมุ่งมั่น
เธอผลักดันตัวเองขึ้นมาจากเด็กส่งของไม่มีอนาคต
มาวันนี้เธอกลับเดินนำหน้าริญไปได้
ฉันภูมิใจแทนลูกสาวฉันที่เลือกคนไม่ผิด
และฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปขัดขวางความสุขของลูกๆอีกต่อไป
จึงยินดียกลูกสาวของฉันกับแม่อรพิน คือวริญญา
ให้แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากับเธอตั้งแต่บัดนี้
ขอให้ลูกทั้งสองจงครองรักกันจนตายจากกัน
พอจบคำพ่อสุพจน์เราสองคนจึงก้มกราบพ่อกับแม่ของริญเพื่อขอบคุณ
แล้วสินสอดทองหมั้นล่ะ พ่อสุพจน์กับแม่อรพินจะเรียกเท่าไหร่ล่ะ คุณย่าริญ ดำเนินเรื่องต่อ


สำหรับสินสอดทองหมั้นก็ขอพอเป็นพิธีเท่านั้นนะทิว
พ่อกับแม่มีลูกสาวคนเดียว ทุกวันนี้ก็เป็นข้าราชการบำนาญ
ลำพังพ่อแม่ก็มีเงินบำนาญเลี้ยงชีพอยู่ได้อยู่มีความสุขในบั้นปลาย
ชีวิตนี้ก็ห่วงอยู่แต่ลูกสาวเท่านั้น
เมื่อเธอให้ความสุข ความมั่นใจกับลูกสาวฉันได้
คนเป็นพ่อกับแม่ก็ตายตาหลับแล้ว


เมื่อพ่อริญกล่าวจบ แม่ของริญก็ได้นำแหวนที่พ่อของริญใช้หมั้นกับแม่เธอออกมาส่งให้เรา
แม่กับพ่อไม่มีลูกชาย แหวนวงนี้คงไม่ได้ไปหมั้นใครอีกแล้ว 
แม่ก็ขอมอบให้เธอสวมนิ้วเป็นของหมั้นให้ริญ
ซะทิวแม่อรพินพูดจบก็ส่งแหวนให้เรา


พอเรารับแหวนมายังไม่ทันสวมให้ริญ
คุณย่าริญก็กล่าวขึ้นว่า

เดี๋ยวก่อนพ่อทิว
ย่าก็มีของจะให้เธอเช่นกัน
ว่าแล้วคุณย่าก็หยิบสร้อยเพชรเส้นหนึ่งจากกล่องส่งให้เรา
พร้อมกับบอกให้เราสวมคอให้ริญซะ ย่าให้หลานทั้งสอง
จากนั้นเราก็สวมแหวนของแม่ริญและสร้อยเพชรของคุณย่าให้กับริญ

ริญก้มกราบที่ตักเราด้วยความยินดี

จากนั้นคุณกิตติพงษ์และพี่พงษ์ก็ได้นำสินสอดทองหมั้นที่เราเตรียมไว้
ยกส่งให้ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว

เอาล่ะวันนี้เป็นอันว่าเสร็จพิธี ต่อไปนี้หลานทั้งสองเป็นสามีภรรยากันแล้ว
โดยการรับรู้ของญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายแล้ว
ส่วนจะมีพิธีการอย่างไรต่อไปต้องให้พ่อสุพจน์กับแม่อรพินเขาจัดแจงต่อไป คุณย่าริญประกาศ


ผมว่าวันนี้ก็จัดเลี้ยงเล็กๆในครอบครัวเราครับคุณแม่
ส่วนพรุ่งนี้ ผมก็จะเชิญคุณแม่กลับขอนแก่นกับผม
เพราะผมเชื่อว่าริญกับทิวคงอยากกลับไปทำพิธีแต่งงานกันที่นั่นแน่นอน
ใช่ไหมทิว พ่อสุพจน์ถาม เหมือนรู้ใจเราทั้งคู่

เราทั้งคู่ขอบคุณคุณพ่อริญที่เข้าใจพวกเรา

หลังจากนั้นเราทั้งสองคนก็ได้ก้มกราบญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายด้วยความขอบคุณแลปลาบปลื้ม

ในขณะที่สายฝนก็เริ่มจะลงเม็ดโปรยปรายมาเป็นสักขีพยาน
เมื่อทุกอย่างกำลังดำเนินการไปได้ด้วยดีและกำลังจะจบลง
ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังลั่นมาจากข้างนอก
เราและทุกคนมองตามเสียงนั้นออกไป
เป็นเสียงของพี่ขิงกำลังห้ามปรามนายเอกอมรอยู่
ยังไม่ทันไรนายเอกอมรก็เดินตรงเข้ามาเหมือนคนขาดสติ

ผมไม่ยอม ผมไม่ยอมนะครับคุณย่า
ริญจะแต่งงานกับไอ้หมอนี่ไม่ได้
ริญต้องแต่งงานกับผมเท่านั้น
นายเอกอมรประกาศก้อง

ทุกคนต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พ่อของริญสั่งให้เราพาริญเข้าไปในบ้านและปิดประตูเสีย

ทางนี้จะจัดการเอง
ขณะที่เรากำลังจะประคองริญลุกขึ้น
เพื่อพาเข้าไปในบ้าน
นายเอกอมรก็ชักปืนออกมากวัดแกว่ง
ไปมาเหมือนคนขาดสติ
พ่อริญสั่งให้เรารีบพาริญเข้าไปในบ้านด่วน
ขณะที่เรากำลังหันหลังให้เพื่อจะพาริญเข้าบ้าน
ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น
เรารู้สึกว่ามันชาที่หัวไหล่ด้านซ้ายเรา
ทุกคนส่งเสียงร้องลั่นว่าทิวถูกยิง
เราสังเกตุตัวเองว่าเริ่มมีเลือดไหล
อาบโชนเสื้อสูทสีขาวเราจนแดงไปด้วยเลือด
เรารู้สึกจุกจึงทรุดตัวลงนั่ง
ขณะที่ริญก็เข้าประคองอยู่ไม่ห่าง

นายเอกอมรยิงปืนขู่อีกพร้อมกับวิ่งเข้ามากระชากแขนริญออกจากเรา
พาริญวิ่งไปขึ้นรถของตัวเอง ทุกคนวิ่งไล่ตามแต่นายเอกอมรก็ตวัดปืนไปมาซ้ายขวา
และพาริญขึ้นรถขับออกไปนอกบ้าน

เราแข็งใจลุกขึ้นมาและวิ่งไปที่รถเพื่อไล่ขับตามริญกลับคืนมา
เราขับรถไล่ตามไปติดๆ อยู่ในระยะที่มองเห็น
เรามองเห็นนายเอกอมรยังใช้ปืนจี้ไปที่ตัวริญอยู่
ในขณะที่มือหนึ่งยังถือพวงมาลัย
คนอื่นๆทั้งพี่พงษ์และคุณกิตติพงษ์ก็ขับรถตามหลังออกมาเช่นกัน

ฝนก็กำลังตก
เราเปิดกระจกและขับรถเบียดขึ้นไปที่รถนายเอกอมรกับริญนั่งอยู่
พร้อมส่งเสียงเรียกให้นายเอกอมรใจเย็นๆจอดรถพูดคุยกันก่อน
แต่นายเอกอมรกลับใช้ปืนยิงสวนมาที่รถเราหลายนัด

เราหักหลบอย่างแรง
และเมื่อมองไปที่รถนายเอกอมร
เราเห็นริญกำลังเข้าแย่งปืนออกจากนายเอกอมรอยู่อย่างชุลมุน
รถส่ายไปส่ายมา
ไม่นานเราก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกนัด
พร้อมกับรถของนายเอกอมรหยุดนิ่งที่ข้างทาง

นายเอกอมรเปิดประตูรถวิ่งออกไป
พร้อมร้องด้วยความตกใจ
กูไม่ได้ทำ กูไม่ได้ทำนะโว๊ย มันเป็นอุบัติเหตุ

เราจอดรถและวิ่งไปดูริญ
ริญถูกยิง กำลังนอนหายใจรวยริน

อยู่ที่เบาะ


เราร้องสุดเสียง

ริญ ริญ
อดทนไว้ริญ
ทิวจะพาไปหาหมอ
เราเข้าไปอุ้มร่างที่โชกไปด้วยเลือดของริญวิ่งกลับมาขึ้นรถของเรา
และขับออกไปอย่างเร็วเพื่อนำเธอส่งให้ถึงมือหมอ
ตลอดทางเราก็พยายามพูดกับริญไปตลอดทาง


ริญเธอพูดย้ำๆอยู่หลายครั้ง
พาริญกลับบ้านที่มอดินแดงให้ได้นะทิว
พาริญกลับไปบึงสีฐาน
ขณะที่เสียงเธอเริ่มเอื่อยและเบาลงเรื่อยๆ
เราก็มาถึงโรงพยาบาล
อุ้มร่างที่เต็มไปด้วยเลือดนำส่งโรงพยายาบาล
ร่างของเธอถูกนำเข้าห้องฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน
ไม่นานทุกคนก็ขับรถตามมาถึง
พ่อของริญสอบถามเราด้วยความห่วงใยริญ
และบอกให้เราไปรักษาตัวด้วยเช่นกัน

แต่เราบอกว่า ผมยังไหวครับ
รอดูริญก่อน


ไม่นานหมอก็เดินออกมาเราทุกคนตรงเข้าไปถามหมอพร้อมกัน
แต่คำตอบที่ได้จากหมอคือ
คนไข้เสียเลือดมากและถูกยิงในจุดที่สำคัญ
เธอเสียชีวิตแล้ว
ทุกคนร้องไห้โฮพร้อมกัน
เราวิ่งเข้าหาริญในห้องผ่าตัด
ขณะที่ทางโรงพยายาบาลเข็นร่างของเธอออกมา
ต่อหน้าพวกเราทุกคน
เราวิ่งเข้าไปกอดซบกับร่างของริญ
เราร้องไห้พูดไปต่างนาๆ



ทำไม
ทำไม้จ้ะริญ
กว่าเราจะมีวันนี้ได้ เราต้องรอมานานเท่าไหร่
ทิวลำบากเท่าไหร่เพื่อจะทำให้มีวันนี้
วันที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกัน
ทุกอย่างที่ทิวสร้างมา
เพื่อริญคนเดียว
ไม่มีริญแล้วทุกอย่างมันก็ไม่มีความหมาย
ทำไมริญมาทิ้งทิวไปอย่างนี้
เราร้องฟูมฟายนานเท่าไหร่ไม่รู้
จนคุณกิตติพงษ์และพี่พงษ์
เข้ามาสะกิดและลูบที่หลังเรา

พ่อกับแม่ริญก็เข้ามา
ต้องพาริญกลับบ้านเราก่อนทิว
เราจึงนึกขึ้นได้

ใช่ ใช่แล้วริญอยากกลับบ้าน ริญอยากกลับมอดินแดง เธออยากกลับบึงสีฐาน
เราอุ้มร่างไร้วิญญานของเธอไปที่รถเรา
ผมจะพาริญกลับบ้าน
พ่อกับแม่ริญและคุณกิตติพงษ์
เข้ามาบอก สภาพจิตใจทิวยังแย่มากจะขับไหวเหรอ
ทุกคนจึงลงความเห็นว่าจะตั้งศพริญที่วัดที่กรุงเทพสวดศพสามวัน
เมื่อฌาปนกิจเสร็จเราค่อยนำเถ้าอัฐิของเธอกลับบ้าน



เราก็ยอมตามนั้น
ร่างของเธอถูกนำไปที่วัด
จัดแจงตามพิธีกรรมทางศาสนา
แต่จิตใจของเรามันเจ็บปวดเหลือเกินที่มองเห็นร่างของคนรักแน่นิ่งไม่ไหวติง
มันเป็นภาพที่เจ็บปวดยิ่งนัก


เราตัดสินใจบวชหน้าไฟให้เธอ
ภายหลังเมื่อเสร็จจากงานฌาปนกิจศพเธอ
เราก็ได้นำเถ้าอัฐิของเธอกลับไปโปรยที่บึงสีฐานและทุกที่ที่เธอชอบไป

ถึงบ้านเราแล้วริญ
ริญจำได้ไหมที่นี่ล่ะบึงสีฐาน
ต้นสนคู่นั้นก็ยังอยู่ที่นี่
เราจะไม่จากมันไปไหนอีกแล้วริญ
เราจะอยู่ด้วยกันที่นี่


เราตัดสินใจบวชไม่สึก เพื่อเธอ
เช้ามืดวันต่อมา
อาตมามารับบิณฑบาตรที่บ้านโยมพ่อโยมแม่ของริญ
เห็นภาพที่คนแก่วัยเกษียณ อยู่อย่างเดียวดาย
มันน่าสลดใจยิ่งนัก
อาตมาเดินมาที่ริมบึงสีฐาน
ยังเห็นภาพของวริญญา เธอยังอยู่ที่นี่

อาตมาหยุดแผ่เมตตาให้เธอ
ขอให้โยมริญจงไปสู่สุขคติ
จงไปรออาตมาที่สวรรค์ก่อน
อาตมาไม่ได้บวชเพื่อสร้างนิพพาน
แต่อาตมาจะสร้างผลบุญกรวดน้ำแผ่เมตตาไปให้โยมทุกวัน
และเราจะไปพบกันที่สวรรค์เมื่ออาตมาสิ้นลม
และเราจะให้สวรรค์ชดใช้ให้กับเราในชาตินี้ที่ทำกับเราไว้
ให้เราได้เกิดมาเป็นคู่กันครองรักกันจนแก่เฒ่าและตายจากกัน
อย่าได้เหมือนกับชาตินี้
ที่สวรรค์ให้เรามาพบกัน
มารักกัน
และก็พรากเราทั้งสองจากกัน
และก็นำเรามาจนได้กำลังจะแต่งงานกัน
แล้วสวรรค์ก็มาพรากเราจากกันอีก
ต่อไปนี้จะไม่มีใครพรากเราจากกันได้
อาตมาขอยึดมั่นในสัจจะวาจาทุกอย่างที่เคยเปล่งไว้กับโยม
เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตไม่มีเปลี่ยนแปลง


จากนั้นมาอาตมามารับบาตรที่บ้านโยมพ่อโยมแม่ริญก็ไม่เห็นภาพของเธออีกเลย
ทั้งหมดนี่้เป็นเส้นทางรักของอาตมากับโยมวริญญา
ซึ่งมันเป็นเส้นทางรักสีชมพูงดงามมาโดยตลอด
อาตมาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมาจบลงด้วยสีดำเช่นนี้
เรารักกัน เข้าใจกัน ฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน

ตลอดเส้นทางรักเรา
มันเต็มไปด้วยความหอมหวาน เข้าใจในรัก
แต่สุดท้ายเรากลับไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ต้องร้างไกลกัน
มันชั่งเจ็บปวดทรมานเป็นที่สุด
ที่พวกเราได้รับ
ทั้งที่เรารักกันจนปานจะกลืนกิน
แต่กลับจบลงด้วยน้ำตา
มีอะไรที่เจ็บปวดยิ่งไปกว่านี้
มันไม่มีอีกแล้ว
พบกันใหม่ชาติหน้าเถิดวริญญา
รักและอาลัย เป็นยิ่งนัก


ตั้งแต่ เมื่อปี 2533 ที่เธอจากไป
อาตมาต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเองมาเป็นเวลาช้านาน
ก่อนที่จะตัดสินใจเขียนบันทึกเรื่องราวของเราไว้ในไดอารี่สีดำเล่มนี้
ท่ามกลางสายน้ำตาที่ร่วงพราว ไหลรินอาบสองแก้มอยู่ตลอดเวลา
เพราะยิ่งอาตมาเขียนเรื่องราวก็ยิ่งเป็นการไปเปิดรอยแผลในใจของตนเองออกมาใหม่
มันเจ็บปวดยิ่งนัก แต่อย่างน้อย เรื่องราวของเราสองคนจะไม่ตายไปพร้อมกับเราสองคน
มันจะยังถูกบันทึกไว้ ในไดอารีสีดำเล่มนี้ตลอดไปชั่วนิจนิรันดร

การเขียนเรื่องราวนี้เพื่ออุทิศส่วนกุศลมอบส่งแด่เธอ วริญญา

ผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ทุกห้องหัวใจอาตมาเปิดออกมารู้จักคำว่ารัก
 และเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ปิดตายทุกห้องหัวใจของอาตมาเช่นกัน
เราจะได้พบกันอีกครั้งในชาติต่อไปเพราะใจเรายังมีกันและกันอยู่เสมอมา

พระทิว พนมไพร


( ผู้บันทึกเส้นทางรัก สีชมพูและจบลงด้วยสีดำ )


30กรกฎาคม 2547






จบบริบูรณ์



เพลงรอพี่ที่สวรรค์ 
คำร้อง ทำนอง ขับร้อง โดย ก้อง กังวาล ทองเนตร



วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไดอารีสีดำ15


ไม่นานมีผู้ชายเปิดประตูรถ เดินลงมา
อยู่นี่เองริญ พี่อุตสาห์ไปรอรับที่คณะก็ไม่เจอ 
ที่แท้มาจู๋จี๋กันอยู่นี่เอง ชายคนนั้นกล่าว

ไอ้หมอนี่เป็นใครกันล่ะริญ 
ดูท่าทางสนิทสนมถึงขั้นจูงมือเกี่ยวก้อย
นี่ทิวจ้ะเป็นแฟนของริญเอง ริญแนะนำเรา
ทิวจ้ะนี่พี่เอกอมร ยังไม่ทันได้ทักกัน
นายเอกอมรก็ย้อนถามริญว่า
เมื่อกี้เธอว่าไอ้หมอนี่เป็นแฟนเธอหรอ
ใช่จ้ะเรารักกันมาตั้งแต่เรียน ม.อยู่ขอนแก่นโน้น
และก็เป็นรักแรกรักเดียวของริญ ริญจะแต่งงานกับทิวเขาเมื่อริญเรียนจบ
ริญย้ำความมั่นใจเหมือนจะแสดงให้ นายเอกอมรรู้ว่าเธอมีเจ้าของหัวใจแล้ว

ไม่ได้นะริญ พี่รักริญ ริญก็รู้ นายเอกอมรพูด
แต่ริญไม่ได้รักพี่เอกอมร พี่ก็รู้เช่นกัน ริญตอบโต้
นี่เธอกล้าพูดกับพี่อย่างนี้เลยหรือริญ นายเอกอมรพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
พร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาเราทั้งคู่
วันนี้พี่จะไปพูดเรื่องของเรากับคุณย่า ไปกับพี่เลยริญ 
ไม่ทันขาดคำนายเอกอมรก็เดินตรงปรี่เข้ามาจะจับแขนของริญ
ริญหนีมาหลบข้างหลังเรา
แต่นายเอกอมรก็ไม่ลดละเอื้อมมือจะคว้าแขนของริญให้ได้

เราชกไปที่หน้านายเอกอมรอย่างจังจนนายเอกอมรเซถลาออกไป
นี่มึงกล้าต่อยกูหรือ มึงเป็นใครวะ 
นายเอกอมรพูดออกมาด้วยความโมโห
เราก็เดินตรงเข้าไปหานายเอกมรและกำลังจะต่อยซ้ำเข้าไปอีก
ริญก็ดึงแขนไว้
พอเถอะจ้ะทิว แค่นี้ก็เรื่องใหญ่แล้ว ริญพูดด้วยความห่วงใยและน้ำเสียงที่กังวล
เรายอมถอยออกมาตามริญ และบอกนายเอกอมรว่า
อย่าได้คิดมาแตะต้องริญแม้เพียงปลายก้อย

นายเอกอมรเดินกลับไปที่รถ พร้อมประกาศเสียงดังว่า
จำไว้เลยมึง จำไว้ริญ พวกเธอจะไม่มีทางสมหวัง คอยดู
แล้วนายเอกอมรก็ขับรถบึ่งออกไป
เมื่อนายเอกอมรจากไป ริญก็เดินเข้ามาหาเรา
เป็นอะไรไหมทิว ริญถามด้วยความห่วงใย
ทิวไม่เป็นอะไร เราตอบ
ต้องขอโทษนะริญ 
ทิวห้ามใจไม่อยู่ที่เห็นคนจะเข้ามากระชากลากถูริญ
เธอเข้ามาจับแขนเรา

วันนี้คงเสียบรรยากาศแล้วทิวเอาไว้วันหลัง 
ริญค่อยพาทิวไปพบคุณย่านะจ้ะวันนี้กลับก่อนเถอะจ้า
ก่อนที่พี่เอกอมรจะกลับมาอีก ส่วนริญจะเข้าไปแจ้งเรื่องนี้ให้คุณย่ารู้ไว้ก่อน
เพื่อหาทางรับมือพี่เอกอมร

-

เรากลับมาที่พักที่คอนโดวันนี้ด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดี
ด้วยเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ทำให้เราเกิดความไม่สบายใจ
สิ่งแรกเลยคือเป็นห่วง วริญญา
เรานึกถึงความกังวลใจที่ วริญญาเธอพูดมาตลอดกับผู้ชายคนนี้
เราเพิ่งได้เจอกันเป็นครั้งแรก ก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ

เราคิดอยู่ในใจว่าถ้าปล่อยผู้ชายคนนี้อยู่ใกล้ริญ มากๆคงไม่ดีแน่
เรารู้สึกเป็นห่วง สวัสดิภาพของริญขึ้นมาทันที
เราคิดหาวิธีที่จะเข้าไปแทรกตรงนี้ให้ได้
เราจะไม่เปิดโอกาสให้คนอย่างนายเอกอมร
ได้มีโอกาสใกล้ชิดริญอย่างเด็ดขาด
ไม่ใช่เราไม่เชื่อใจ วริญญา
แต่เราไม่เชื่อว่าคนอย่างนายเอกอมรจะยอมง่ายๆมากกว่า

เพราะเท่าที่ฟังจากเธอเล่ามา ภายในรั้วบ้านหลังใหญ่ แท้ที่จริงมีเพียงคนแก่ 
เด็กและผู้หญิงเท่านั้นเอง
 อาของริญก็กลับบ้านเย็นเช่นกัน
และนายเอกอมรก็รู้เวลาที่จะเข้ามาบ้านด้วยเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงตัดสินใจ โทรศัพท์จากที่คอนโด
ไปหาริญทันที
สอบถามริญถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ริญอธิบายว่าได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณย่าฟังแล้ว

เราจึงเสนอว่า ทุกเย็น เราจะไปอยู่กับริญที่บ้าน
โดยใช้น้องหญิง หลานสาวเธอเป็นข้ออ้างในครั้งนี้
เราอาสาว่าจะไปสอนการบ้านและสอนคอมพิวเตอร์ให้กับน้องหญิง
ซึ่งริญก็เห็นดีด้วย และรับปากว่าจะคุยเรื่องนี้ให้อาเธอรับรู้และอนุญาต


วันต่อมาริญโทรมาหาที่คอนโดบอกว่าให้เราไปสอนน้องหญิงได้ตั้งแต่เย็นนี้เป็นต้นไป

นี่เป็นโอกาสของเราที่จะได้เข้าไปดูแลริญด้วย

พอใกล้เวลานัดหลังจากเราจัดแจงงานต่างๆเสร็จสรรพ
เราก็บึ่งรถจากที่ทำงานตรงไปที่บ้านคุณย่าของริญโดยไม่รีรอ
เราขับรถมาถึงหน้าบ้าน มีพี่ขิงมารอเปิดประตูบ้านอยู่แล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่บ้านหลังนี้เปิดประตูให้เราก้าวเข้าไป
เราขับรถเข้าไปพอพ้นรั้วก็เห็นริญ ยืนยิ้มหวานรออยู่เช่นกันกับน้องหญิง
เมื่อเราลงจากรถ ริญก็แนะนำให้น้องหญิงรู้จักกับเราว่าคือคุณครูคนที่จะมาสอนน้องหญิง
เมื่อทักทายกันเสร็จ
ริญพาเราไปแนะนำตัวกับคุณย่าเธอ
เรายกมือไหว้คุณย่าริญด้วยความนอบน้อม

คนนี้ใช่ไหมที่มีเรื่องกับพ่อเอกอมรวันก่อน คุณย่าริญเอ่ยถามเปรยออกมา
 ใช่ครับคุณย่าเป็นผมเอง ผมชื่อทิวครับ

เราสังเกตท่าทีคุณย่าของริญก็เป็นเพียงคนแก่ 
ที่ขาดลูกหลานมาคอยดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิดเท่านั้น
ดูหน้าตาท่าทาง ก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นคนขาดเหตุผลแต่อย่างใด

เราจึงเป็นฝ่ายเริ่มสนทนา
คุณย่าครับผมจะมีปัญหามากเวลาไปสอนเด็กๆตามบ้าน
เด็กส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสนใจกับการเรียน
จะเดินหนีอยู่เรื่อย ผมจะดุก็ไม่ได้
เลยต้องใช้วิธีเล่านิทานให้ฟังก่อนเพื่อเป็นการชักจูงใจ โดยจะเล่าวันละตอน
ค้างเอาไว้ให้เด็กอยากรู้ ตอนต่อไป 
เมื่อพวกเด็กๆอยากรู้อยากฟังต่อก็จะมีการเรียนการสอนเกิดขึ้นได้
กว่าจะเอาอยู่ก็นานเลยครับ
คุณย่าของริญก็นั่งฟังปกติไม่แสดงอาการอย่างไร

เราก็พูดต่อไปอีกว่า
ปัญหาของผมจึงเกิดขึ้น คือไม่มีนิทานที่จะเล่าให้เด็กๆฟัง
ผมจำนิทานเก่าๆเรื่องหนึ่งที่ยายผมเคยเล่าให้ฟัง แต่ผมจำไม่ได้ว่ามันชื่อเรื่องอะไร
ผมอยากนำไปเล่าให้เด็กฟัง
ผมจำได้เพียงบางตอนว่า จะมีหมูกับหมา ที่ชาวนาให้ช่วยทำนา
อะไรซักอย่างนี่ครับ
และผมจำได้ตอนจบว่าชาวนาให้หมากินข้าวให้หมูกินรำ
ส่วนเนื้อหาส่วนอื่นผมจำไม่ได้
คุณย่าริญก็ยังนั่งเงียบ

เราคิดว่าเราได้พูดในส่วนที่เราอยากพูดแล้ว เดี๋ยวก็เกิดผลตามมาไม่นานแน่
จึงขอตัวออกมาเพื่อไปสอนน้องหญิง
เราเดินออกมานั่งที่สวนในบ้านที่เป็นโต๊ะ มีที่นั่งเล่น
และก็พูดคุยเพื่อทำความเข้าใจและคุ้นเคยกับเด็กก่อนเหมือนเช่นเคยที่เราเคยทำมา

แต่เราสังเกตว่า วันนี้ วริญญาจะนั่งจ้องมองเราเป็นพิเศษ
มองตั้งแต่เราลงจากรถ มองตั้งแต่หัวจรดเท้า จนเวลานี้เธอยังจ้องมองเราอยู่

เราจึงถามริญด้วยความสงสัย
ริญมีอะไรหรือเปล่าจ้ะ
ริญสะดุ้งนิดหน่อยแล้วก็ยิ้ม
ริญไม่เคยเห็นทิวสวมใส่ชุดสูทอย่างนี้เลยตั้งแต่คบกันมา
มันแปลกตาริญดีน่ะทิว
ทิวดูเป็นคนละคนเลย
ทิวดูสง่า โดดเด่น มันรับกับบุคลิกของทิวเป็นอย่างมาก เธออธิบายความในใจให้เราฟัง

แสดงว่าที่ผ่านมา ทิวดูแย่หรือไงจ้ะริญ เราถามย้อนกลับ
ไม่นะจ้ะทิว ทิวเป็นคนบุคลิกดีโดดเด่นอยู่แล้ว
เพียงแต่เหมือนมันมีอะไรมาปกปิดเอาไว้อยู่
เมื่อริญเห็นทิวแต่งตัวแบบนี้ ถึงได้รู้ว่า มันใช่เลยนี่แหล่ะคือทิว

งั้นทิวจะแต่งตัวอย่างนี้มาทุกวัน เราแสร้งพูด
แต่ริญยังชอบที่ทิวแต่งตัวสบายๆที่ทิวเคยเป็นมากกว่านะทิว มันดูเป็นกันเองดี
ง่ายๆอยากนั่งอยากนอนไหนก็ได้ 
ริญก็ด้วย ริญชอบแต่งตัวง่ายๆตามโอกาส ตามกาลเทศะมากกว่า
ถ้างั้นริญก็เข้าใจถูกแล้วจ้ะ
นี่เป็นชุดที่ทิว ใส่ทำงานทุกวัน
พอทิวเลิกงานก็บึ่งรถมานี่เลยยังไม่ได้กลับบ้าน

จากนั้นเราก็พยายามปูพื้นฐานการเรียนให้น้องหญิง
โดยมีริญนั่งจ้องดูเราด้วยความตั้งใจอยู่ข้างๆอย่างไม่ละสายตา
พอเราสอนไปสักพักเธอก็ลุกไปยกน้ำออกมาให้ดื่ม
และคอยนั่งอยู่ข้างๆให้กำลังใจต่อไป
เมื่อสมควรแก่เวลาเราจึงขอตัวกลับ
และก่อนจะกลับจึงเดินเข้าไปกราบลาคุณย่าของริญ
พอเราจะหันหลังกลับ

คุณย่าของริญก็พูดขึ้นว่า
นิทานเรื่องนี้ฉันจำได้ถ้าเธอไม่รีบก็นั่งลงก่อนแล้วฉันจะเล่าให้ฟัง
เพื่อที่เธอจะนำไปเล่าให้พวกเด็กๆฟัง
เรากับริญ หันไปสบตามองหน้ากัน ก่อนที่จะนั่งลงทั้งคู่

แล้วคุณย่าของริญก็ได้เล่านิทานเรื่องดังกล่าว ซึ่งเราก็รู้เรื่องราวดีอยู่แล้ว 
อย่างไม่ขาดตกแม้ตอนเดียว
แถมยังเล่าอย่างออกรสออกชาติ
และเล่าให้เราฟังอีกหลายเรื่อง เรานั่งฟังอยู่จนเกือบสองทุ่ม
กว่าคุณย่าริญจะหยุดเล่า
แถมยังพูดคุยเป็นกันเองกับเรา มีรอยยิ้มมีเสียงหัวเราะเป็นตอนๆ

เมื่อเรากำลังจะกลับ ริญก็พูดขึ้นว่า
ทิวจ้ะ ทิวทำได้ไง
เรื่องอะไรจ้ะริญ เราแกล้งถาม
ก็เรื่องคุณย่าสิจ้ะ
ตั้งแต่ริญมาอยู่ที่นี่  ริญไม่เคยเห็นคุณย่าคุยกับใครนานๆอย่างนี้เลย
แต่คุยกับทิวอยู่ตั้งนาน แถมคุณย่าดูจะมีความสุขมากด้วย 
ริญถามด้วยความสงสัย

คำตอบก็อยู่ที่บ้านหลังนี้แหล่ะริญ
ริญลองมองดูสิจ้ะ
เวลานี้มีใครอยู่ที่บ้านบ้าง
มีริญ มีน้องหญิง มีพี่ขิง เท่านั้น
และก่อนหน้าที่ริญกับน้องหญิงจะเลิกเรียน
มีใครจ้ะ ก็จะมีแค่พี่ขิงคนเดียว

อาริญก็กลับเสียมืด กลับมาแล้วก็แทบจะไม่ได้พบกันด้วยซ้ำมั้งทิวว่า

ริญลองคิดดู
คนแก่ถูกทิ้งไว้อย่างนี้ กี่วันกี่ปีมาแล้วก็ไม่รู้
ไม่มีลูกหลานมาพูดคุยนั่งเล่นหยอกล้อ
ก็เหงาเป็นธรรมดา

คนแก่นะริญ เขาจะคิดเสมอว่า
พวกเขาอาบน้ำร้อนมาก่อนเรา เห็นโลกมาก่อนเรา
จึงไม่ชอบให้ใครมาเหยียดหยามพวกเขา
มองข้ามความสำคัญของพวกเขา

ทั้งหมดก็มีเท่านี้จ้ะริญ
ทิวจึงเข้าไปปลุกจิตใจคุณย่าให้ฟื้นมา โดยถามนิทานเก่าๆเพื่อให้คุณย่าได้เล่า
ได้คิดว่าตัวเองมีความสำคัญ
เราเป็นเด็กก้มหัวเข้าหาผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เป็นบุพการีเรา
ก็ไม่เห็นมันจะเสียหายตรงไหนจ้ะริญ

ทิวเพิ่งมาบ้านนี้เป็นวันแรก ก็รู้จักคุณย่ามากกว่าริญเสียอีก ทิวเก่งๆจริง
ที่สามารถเอาชนะใจคุณย่าได้
รวมทั้งหัวใจหลานสาวของคุณย่าด้วยจ้ะริญ เราล้อเล่นกับริญ
จ้า..ริญยอมรับ
แล้วเธอก็เดินออกมาส่งที่รถ

ริญจ้ะ ขึ้นมานั่งบนรถคันแรกที่ทิวมีเพื่อเป็นเกียรติสักครั้งได้ไหม
เธอยิ้มก่อนจะเปิดประตูขึ้นมานั่งข้างคนขับด้านหน้า

เป็นไงจ้ะทิวริญอยู่นี่แล้ว
ดีจ้ะริญ รถคันนี้ได้รับใช้เจ้าของครบแล้ว
ยังมีบ้านอีก ที่เจ้าของตัวจริงยังไม่เข้าไปอยู่
เมื่อไหร่จะไปจ้ะคนดี เราเอ่ยถามเธอใกล้ๆ
ไว้วันหยุดจ้ะทิว ถ้าทิวยังคงเข้าหน้าคุณย่าได้อย่างนี้
ริญก็หมดห่วงแล้ว ที่เหลือก็คงไม่ยากหรอกจ้า
พรุ่งนี้เจอกันจ้ะทิว

ขับรถดีๆนะริญพูดเบาพร้อมกับจับมือเรามาบีบแน่น
ก่อนที่เธอจะลงจากรถและเดินมาเปิดประตูบ้าน


กลับถึงบ้านวันนี้ เราก็โล่งใจไปได้อีกเปราะหนึ่ง
ที่อยากน้อยก็สามารถทลายกำแพงกั้นของคุณย่าริญลงไปได้
ปัญหาหัวใจของเราถึงเวลานี้จะเรียกได้ว่า ไม่มีแล้วก็คงไม่เกินความจริงมากนัก
จะเหลืออยู่ก็แต่ นายเอกอมรนี้เท่านั้นที่ไม่ยอมรามือจากเราสองคน

นายเอกอมรพยายามที่จะขับรถไปดักรอริญอยู่ที่คณะตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
แต่ก็พลาดกับริญ เนื่องจากเธอจะหลบหน้าและหาทางปกปิดไม่ให้
นายเอกอมรทราบข่าวความเคลื่อนไหวของเธอ

ต่างจากตัวเราที่ 
วริญญาจะบอกกล่าวอยู่เสมอว่าวันนี้เรียนกี่โมง เลิกกี่โมง 
นัดเจอกันที่ไหน หรือวันไหนไม่มีเรียนบ้าง
สิ่งต่างๆเหล่านี้คือส่วนที่นายเอกอมรไม่รับรู้

นับจากที่เราได้ไปสอนน้องหญิงตั้งแต่วันนั้นแล้ว
ตัวเราก็ได้กลายเป็นแขกประจำของบ้านหลังนี้มาโดยตลอด
สามารถเข้านอกออกในได้ทุกเวลา
และได้รู้ความจริงจากการบอกเล่าของคุณย่าริญว่า

ครอบครัวเราเหมือนมีกรรม
คุณย่ามีลูกสองคนก็คือคุณพ่อริญ กับอาสาวของเธอที่อาศัยอยู่ที่เรือนเล็กกับสามีเวลานี้
เพียงสองคนเท่านั้น
พ่อของริญก็รับราชการต้องไปอยู่ที่ต่างจังหวัดตลอดเวลา
จนไม่มีเวลามาอยู่กับพ่อแม่ คือคุณปู่คุณย่าริญ
จนไปมีครอบครัว ก็มีลูกสาวเพียงคนเดียวคือริญ
ส่วนน้องสาวพ่อของริญก็รับราชการรวมถึงสามีเธอด้วย
จึงไม่ค่อยมีเวลาได้พบปะพูดคุยกันเท่าไหร่ แม้จะอาศัยอยู่ในรั้วเดียวกัน
อาของริญก็มีลูกสาวเพียงคนเดียวเหมือนกันคือน้องหญิง
ปู่ของริญก็รับราชการมาตลอดชีวิต
เรียกได้ว่าครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวข้าราชการโดยแท้ มาแต่ปู่
มีลูกมีหลานน้อยคน
ภายในบ้านที่มีเนื้อที่มากมายจึงเต็มไปด้วยความเงียบเหงาอย่างที่เห็น

ครอบครัวเราพ่อแม่ลูก ไม่เคยได้อยู่พร้อมหน้ากันสมบูรณ์แบบเหมือนคนอื่นเขาทั่วไป

และนี่มาถึงรุ่นหลานก็ทำท่าว่าจะซ้ำรอยเดิม
แม้แต่ริญก็ต้องแยกจากครอบครัวมาเรียนอยู่ที่กรุงเทพ
ปล่อยให้พ่อสุพจน์ และแม่ อรพิน พ่อแม่ของริญ ได้รับความรู้สึกเดียวดายเฝ้าบ้าน
เหมือนตอนที่ฉันเคยได้รับ

นี่คือบางส่วนที่คุณย่าริญได้บอกเล่าให้เราฟังถึงความเจ็บปวด
ที่พ่อแม่ลูกไม่เคยได้อยู่กันพร้อมเพรียงหน้า
แม้จะมีชื่อเสียงและสถานะทางสังคม
แต่กลับมีจิตใจที่ว้าเหว่เป็นยิ่งนัก

เมื่อเราได้ฟังก็ยิ่งได้เข้าใจความรู้สึกของคุณย่าริญที่ต้องแบกรับมาตลอดชีวิต

ส่วน
ความรักของเรากับริญมันสุกจนงอมมานานหลายปีแล้ว
ตอนนี้เรากับริญสามารถไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองโดยเปิดเผยได้
โดยที่คุณย่าเธอรู้เห็นและอนุญาต
เมื่อมีเวลา เสาร์อาทิตย์ถ้าเราไม่มีงานเราก็จะไปเที่ยวกันตามสถานที่ต่าง
ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันค้างคืนด้วยกันที่คอนโดเราบ้างสถานที่ท่องเที่ยวบ้าง
เรากับ วริญญาเวลานี้
โดยพฤตินัยแล้ว ถือว่าเราเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์แบบ
ยังขาดก็แต่ทางนิตินัยหรือทางกฎหมายเท่านั้นที่เรายังไม่ได้เป็น
และเราก็รอมันอยู่อย่างเร่งวันเวลาให้มาถึงโดยเร็ว

จะเป็นเพราะเรากับริญรักกันเป็นรักแรกของทั้งคู่หรือไม่ก็ไม่ทราบได้ ที่ทำให้เรา
ทั้งสองรักกันมากเพราะเรารักษารักแรกของเราได้มาอย่างยาวนาน
ยิ่งเรารู้จักกันมานาน
ยิ่งทำให้เรารู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี ชนิดมองตาก็รู้ถึงใจ
เมื่อเราได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตร่วมกันเป็นเฉกเช่นคู่สามีภรรยากัน
ก็ยิ่งทำให้เรารักกันมากขึ้นมิมีเสื่อมคลายลงไปได้เลย
วันไหนที่เธอไม่มีเรียน วริญญาเธอก็จะมาทำหน้าที่เป็นแม่ศรีเรือนอยู่ที่คอนโดเรา
เราช่วยกันประคับประคองดูแลหัวใจให้กันและกัน เติมรักให้กันมิเคยว่างเว้น
จนขณะนี้ริญจวนเจียนจะจบอยู่แล้วในเดือนหน้า
ขณะที่เราก็เดินหน้าไปได้อย่างดีทั้งการเรียนและการงานเช่นกัน
ริญ บอกว่าเมื่อเธอจบ เธอต้องถูกส่งตัวเข้าตามศูนย์เพื่อไปปฏิบัติงาน
ตามขั้นตอนที่เขากำหนดไว้
ซึ่งพวกเราทั้งสองก็ไม่ได้ห่วงใยหรือวิตกแต่อย่างไร

สิ่งเดียวที่ วริญญา เธอคาดหวังเอาไว้คือ
อยากกลับบ้านอยากลับไปเปิดคลีนิคเล็กๆที่ขอนแก่นซักแห่งหนึ่ง 
และให้เราย้ายกลับไปอยู่ที่โน่นไปครองรักอยู่ด้วยกันตราบวาระสุดท้ายของชีวิต
ซึ่งถ้าดูตามรูปกาลแล้ว ก็ไม่น่าจะมีอะไรแปรเปลี่ยนไปจากนี้แล้ว
เราสองคนรอเพียงแค่วันที่ริญเรียนจบอย่างเดียวเท่านั้น

วันหนึ่งหลังจากที่ริญมาอยู่กับเราที่คอนโดตั้งแต่วันเสาร์
ในคืนวันอาทิตย์ประมาณทุ่มเศษๆเราก็พาเธอกลับบ้านคุณย่าของเธอ

หลังจากที่เรากลับไปถึงก็ไปกราบคุณย่าเธอ
แล้วคุณย่าเธอก็กล่าวขึ้นมาว่า
หลานทั้งสองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
จะไปไหนมาไหนด้วยกันนานๆคนก็จะมองว่าไม่งาม
เธอต้องมาสู่ขอหลานสาวของฉันซะทิว
หมั้นหมายกันให้มันเรียบร้อยหรือขอวันนี้แต่งมันวันนั้นเลยก็ได้
ย่าเองก็ชักรำคาญ เจ้าเอกอมรมันมาคอยระรานอาละวาด
ทุกครั้งที่ริญไม่อยู่มันก็มาเอ็ดตะโรเอากับย่าอยู่เป็นประจำ
เธอไปหาคนที่เธอนับถือมาซักคนสองคนพอเป็นพิธีก่อนก็พอ
แล้วย่าจะให้ริญโทรเรียกพ่อแม่เขาลงมาจากขอนแก่น
จัดการหมั้นหมายแต่งงานมันให้เรียบร้อยไปซะเลย
ไหนๆก็รักกันมานาน แต่งช้าแต่งเร็วมันก็แต่งอยู่วันยังค่ำ
นี่เป็นคำพูดที่เราทั้งสองคนดีใจอย่างสุดขีด
เราโน้มตัวมาสวมกอดกันต่อหน้าคุณย่าริญ
และก้มลงกราบแทบเท้าขอบคุณท่านที่เข้าใจในรักเรา

แล้ววริญญาก็รีบลุกไปโทรศัพท์กลับบ้านแจ้งข่าวกับพ่อแม่เธอ
และให้คุณพ่อคุณแม่เธอรีบลงมาโดยด่วน
ส่วนตัวเราก็ไม่รอช้า
รีบโทรศัพท์ไปหาพี่พงษ์ และคุณกิตติพงษ์ 
ซึ่งเรานับถือเป็นเหมือนดั่งพี่น้องร่วมสายเลือดให้เตรียมตัวมาเป็น 
ผู้ใหญ่เพื่อเตรียมสู่ขอ วริญญาแต่งงานในวันพรุ่งนี้