ยินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับคนใจช้ำที่ถูกย่ำยีมาไม่ว่าคุณจะเป็นใครเราคือเพื่อนกัน

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไดอารีสีดำ13


เราตรงเข้าไปซื้อตั๋วเข้ากรุงเทพ ราคา 199 บาท
เวลาประมาณ ทุ่มครึ่งรถไฟจากยะลา ก็เข้าเทียบท่าชานชาลาที่โคกโพธิ์ เพื่อเข้ากรุงเทพ
เราแบกสัมภาระขึ้นรถไฟมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพอีกครั้ง
เรานอนหลับบนรถไฟทั้งคืนจนเช้าก็ยังไม่ถึงกรุงเทพ รถไฟวิ่งอีกทั้งวันก็ยังไม่ถึงกรุงเทพ
นี่มันเป็นเส้นทางที่ยาวไกลจริงๆ นึกถึงตอนที่เรามาที่เขาใส่ยานอนหลับในน้ำให้เราดื่ม
เราหลับยาวมารวดเดียวถึงโคกโพธิ์ก็คงใส่ยานอนหลับเข้าไปไม่น้อย

จนเวลาเกือบทุ่มหนึ่งรถไฟจึงเข้าเทียบท่าชานชาลาหัวลำโพงอีกครั้ง

เรากลับมาเริ่มต้นที่นี่อีกครั้งหนึ่งหลังจากวันแรกที่เรามาจากขอนแก่น
แล้วจะไปซอยหลังสวนแต่แท็กซี่พาไปสวนจตุจักร
และกลับมาหัวลำโพงอีกครั้งตอนที่พวกสำนักจัดหางานพามาขึ้นรถไฟหลอกเราลงใต้ไปปัตตานี
ดังนั้นเรามาหัวลำโพงครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่สาม
แต่มันเป็นเวลาหัวค่ำ แล้วเราจะไปที่ไหน หรือนอนที่ไหนในค่ำคืนวันนี้
จากประสบการณ์เมื่อคราวก่อน
มันทำให้เราระมัดระวังตัวมากขึ้นในคราวนี้
จะไปส่งของก็เป็นเวลาที่ไปรษณีย์ปิดทำการไปแล้ว
เราต้องทำภาระและหน้าที่ไปส่งฝันของเพื่อนแต่ละคนให้เสร็จสรรพเสียก่อน
ก่อนที่เราจะคิดการทำสิ่งอื่นใดต่อไป
ว่าแล้วเราก็เดินไปร้านค้าแถวนั้นขอซื้อซองจดหมายและแสตมป์
มาจำนวนมากเลยที่เดียว
แล้วเดินแบกของย้อนมานั่งอยู่ภายในหัวลำโพงเหมือนเดิม
ท่ามกลางที่ผู้คนเดินขวักไขว่สวนกันไปมาเดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก อยู่ตลอดเวลา
เราตัดสินใจใช้โอกาสนี้คัดแยกจดหมายเพื่อนๆพี่ออกจากกันแล้วจ่าหน้าซองตามที่อยู่ที่เราได้จดบันทึกเอาไว้
ด้านหลังจดหมายของแต่ละคน
เมื่อจ่าหน้าซองเสร็จก็พับจดหมายใส่ซองติดแสตมป์คัดแยกไว้ต่างหาก
คนไหนที่มีของฝากเราก็พับจดหมายใส่ซองอย่างเดียวไม่ติดแสตมป์
กะว่าจะยัดใส่ในกล่องปลาหมึกแห้งนั้นส่งไปพร้อมกันเลย

ส่วนเงินที่พี่เอก กับพี่หวิลให้มาเป็นค่าใช้จ่าย
เราก็ตัดสินใจพับใส่ซองจดหมายของทั้งสองคนจนหมดสิ้นเพื่อเตรียมส่งไปพร้อมกับพัสดุในวันพรุ่งนี้
เรานั่งจัดแจงและคัดแยกจนเรียบร้อยก็เตรียมรอไว้พรุ่งนี้ค่อยนำส่งทีเดียวพร้อมกัน
เงินสดเราที่เหลือติดตัวมาจากขอนแก่น 500 บาท
ได้เงินจากเรืออีก 400 บาท
จ่ายค่ารถสองแถว 100บาท ค่ารถไฟ 199 บาทค่ากล่องและเชือก 20 บาท
รวมแล้วเงินสดติดตัวเวลานี้เหลือประมาณ 500บาทเศษๆ เก็บไว้เป็นค่าส่งของพรุ่งนี้
ส่วนเงินเก็บจากการที่เราทำงานมานับสามปีที่ขอนแก่นหลังจากส่งพ่อแม่แล้วก็เหลือติดบัญชีอยู่เกือบสามหมื่นบาทเราตั้งใจจะเก็บส่วนนี้เอาไว้ใช้จำเป็นจริงเท่านั้น
คืนนี้เราตัดสินใจหามุมสงบที่ไหนซักมุมภายในหัวลำโพงนี้เป็นที่พักหลับนอนพอข้ามคืนไปได้
ภายหลังจากเข้าห้องน้ำห้องส้วมเสร็จเราก็ได้เก้าอี้ว่างที่หนึ่งพอเป็นที่เหยียดหลัง
และก็ถือวิสาสะยึดเก้าอี้ตัวนี้เพื่อข่มตานอนพอให้ข้ามคืนนี้ให้ได้เสียก่อน
เราพยายามข่มตาอยู่นานท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านเดินผ่านไปมา
กว่าจะหลับตาลงได้จนเช้าวันใหม่
เรารีบลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำเสร็จสรรพ
รีบถือของออกจากหัวลำโพงเดินถามผู้คนแถวนั้นเพื่อจะไปส่งของที่ไปรษณีย์
เราหิ้วของไปรอที่หน้าที่ทำการไปรษณีย์ตั้งแต่ยังไม่เปิดทำการ จนเปิดทำการ
เราซื้อกล่องพัสดุมาหลายใบคัดแยกมัดปลาหมึกแห้งตามรายชื่อที่เราเขียนกำกับไว้
บรรจุลงกล่องพร้อมซองจดหมายที่มีเงินของพี่เอกและพี่ หวิล อีกคนละพันลงไปด้วย
ส่วนจดหมายที่ติดแสตมป์แล้วเราก็หยอดลงตู้รับจดหมาย รอเวลาให้ไปรษณีย์มาไขตู้รับช่วงต่อไป
เราส่งของเสร็จสรรพใช้เงินค่ากล่องค่าส่งไปสี่ร้อยกว่าบาท
เวลานี้เราเหลือเงินติดตัวอยู่ 130บาท
เราเดินออกจากไปรษณีย์ไปหาซื้อขนมปังมาห่อหนึ่งพร้อมนมจืดกล่องหนึ่งนั่งกินและซื้อน้ำเปล่ามาดื่มอีกขวด สมควรแก่เวลาเราเดินกลับไปที่หัวลำโพงอีกครั้งกลับไปเริ่มต้นตรงที่เราเคยมาเมื่อครั้งแรก
ก็ยังเห็นพี่แม่ค้าคนก่อนที่เราเคยมาถามทาง กำลังยุ่งอยู่กับการขายของ
และก็เดินไปอีกหน่อยเราก็เหลือบมองไปเจอคู่ปรับเก่า นั่นคือคนขับแท็กซี่ที่พาเราไปทิ้งที่สวนจตุจักร
ไอ้นี่นี่เองที่ที่ทำกูคราวก่อนจนต้องไปร่อนเร่อยู่กลางทะเล เราคิดในใจ พร้อมเดินตรงเข้าไปหา

เราตรงเข้าไปสะกิดแขนคนขับแท็กซี่
นี่ยังกล้ามาหากินอยู่ตรงนี้อีกหรือไงพี่ เราพูดด้วยน้ำเสียงที่ดัง
แท็กซี่คนนั้นหันตามเสียงเราและยืนจ้องหน้าเราตั้งแต่หัวจรดเท้า
ก่อนจะยกมือขึ้นมาชี้เรา ไอ้น้องแกนี่เองฉันจำแกได้  แท็กซี่โพล่งออกมา
เจอก็ดีแล้ว แกจะไปซอยหลังสวนอีกไหมพี่จะไปส่ง แท็กซี่เสนอ
เรารีบตอบกลับไป
อย่าดีกว่าพี่คราวนี้ไม่ได้กินผมหรอก
คราวนี้พี่พูดจริงน้องพี่เป็นคนดีแล้ว
ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นพี่ไม่สบายใจเลยและรู้สึกผิดมาตลอด
วันนี้ขอให้พี่ได้ใช้คืนนะน้องนะ แท็กซี่ยืนยันหนักแน่น
เราดูคราวนี้เห็นพี่แท็กซี่พูดท่าทางจริงจังหนักแน่น ก็ถามไปว่า
แล้วพี่จะพาผมไปทางไหน
นี่เลยน้องวิ่งตรงไปตามถนนนี้ไม่ไกลเลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชดำริ เลี้ยวขวาเข้าศาลาแดงก็ถึงแล้วน้องซอยหลังสวน ถ้าผิดจากนี้น้องเอาเรื่องพี่เลย ไปเลย แท็กซี่อธิบายเส้นทางและจับแขนเราเดินไปขึ้นรถ
เราเห็นท่าทางหนักแน่นก็เดินตามไปอีกครั้งและไม่นาน
รถก็วิ่งไปตามเส้นทางดังว่า
เรามองเห็น สวนลุมพินีแล้วกับตาตัวเอง จึงคลายใจ
ไม่นานแท็กซี่บอกบ้านเลขที่อะไรน้องพี่แท็กซี่ถาม
ถึงซอยหลังสวนแล้วใช่ไหมพี่เราถามกลับ
นี่แหละซอยหลังสวน แท็กซี่ตอบเรา
ถ้างั้นพี่จอดให้ผมลงตรงนี้เดี๋ยวผมจะเดินหาเองขอตั้งตัวก่อน เราบอกแท็กซี่ให้จอด
ได้ๆงั้นพี่จอดให้ตรงนี้เลย ว่าแล้วแท็กซี่ก็จอด
เราส่งธนบัตรหนึ่งร้อยที่มีติดตัวร้อยเดียวเวลานี้ให้
แท็กซี่บอก ฟรีน้อง
ไม่ได้หรอกพี่ พี่เสียน้ำมันมาพี่ต้องรับไป เราย้ำ
ให้พี่ได้ไถ่โทษคราวก่อนนะน้องนะไม่งั้นพี่ไม่สบายใจเลย พี่แท็กซี่บอก
ถ้างั้นพี่รับไป50 บาท เรายืนยัน
แท็กซี่รับไปพร้อมยื่นเงินทอนกลับมาให้เรา 50 เรารับเงินทอน แล้วบอกกับแท็กซี่ว่า
ต่อไปนี้เราหายกันนะพี่ แท็กซี่ยิ้มรับก่อนพูดว่าขอบใจเองนะน้องพี่สบายใจแล้ว โชคดีนะ เราปิดประตู
ให้เขาวิ่งออกไปทำมาหากินต่อไป

เรายืนมองตามแนวถนนซอยหลังสวนอยู่พักก่อนหาที่นี่นั่งหยิบสมุดพกออกมาจากกระเป๋าเพื่อดูเลขที่บ้านที่ริญเคยให้ไว้ออกมาดู แล้วก็เดินดูไล่ไปตามแนวทางจนเจอบ้านใหญ่โตหลังหนึ่ง เราหยุดมองเลขที่หน้าบ้าน
กับที่อยู่ที่เราเขียนไว้มันตรงกัน จึงตัดสินใจว่าคงใช่หลังนี้แน่
เราเดินตรงเข้าไปที่ประตูบ้านชะเง้อคอมองเข้าไปในบ้าน
ภายในบริเวณบ้านมีรถจอดอยู่สามคัน มีบ้านหลังใหญ่หนึ่งหลัง
เป็นเรือนหลังเล็กอีกสองหลังอยู่ภายในบริเวณเดียวกัน
มีสนามหญ้าในบ้านเนื้อที่สนามหญ้าประมาณครึ่งงานเห็นจะได้
เรายืนพิจารณาอยู่นาน
จึงตัดสินใจจะเดินไปกดกริ่งเรียกคนในบ้าน
แต่พอเดินไปที่กริ่ง เราก็หยุด พร้อมกับเดินถอยออกมา
เรามองดูตัวเอง
สภาพเราตอนนี้มันไม่มีร่องรอยของทิวคนเก่าเหลืออยู่เลยทั้งดำทั้งเหม็นกลิ่นคาวปลา
เสื้อผ้าก็เก่าหงอกจนหมองหม่นไปรองเท้าก็ขาด
เราไม่อยากให้ริญมาเห็นเราในสภาพนี้เราจึงเดินถอยกลับออกไปห่างๆหน้าบ้าน
ครุ่นคิดอยู่นาน จึงตัดสินใจนั่งเขียนจดหมาย บอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้ริญรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้างที่ผ่านมา และบอกให้ริญรู้ว่าเวลานี้เราได้กลับเข้ามากรุงเทพอีกครั้งแล้วและได้มายืนอยู่ที่หน้าบ้านคุณย่าของริญแล้ว แต่ทิวไม่พร้อมจึงเขียนจดหมายฝากข่าวให้ริญรู้เอาไว้
และวันหน้าเราจะกลับมาใหม่

เมื่อเราได้เขียนบรรยายเรื่องราวไว้แล้วก็พับใส่ซองที่เหลือมา
จ่าหน้าซองถึง วริญญา และลงชื่อกำกับว่าจากทิวไว้หน้าซอง
จากนั้นเราจึงนำไปสอดไว้ที่กล่องรับจดหมายที่ติดไว้หน้าประตู
ก่อนจะกดกริ่งเรียกพร้อมกับตระโกนว่า จดหมายครับ แล้วเราก็รีบเดินหันหลังกลับมา
และแอบซุ่มอยู่บริเวณนั้นอีกตั้งนานเพื่อรอดูให้แน่ใจว่ามีคนออกมารับจดหมาย
เราเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไม่นานมีคนมาเปิดประตู เป็นผู้หญิง
เรามองดูจนแน่ใจว่าไม่ใช่ริญ เราจึงเดินออกมาจากที่แอบซุ่มเดินตรงไปหาเธอ
ผู้หญิงคนนั้นเปิดตู้รับจดหมายและหยิบจดหมายออกมาดู
และกำลังจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน
เดี๋ยวก่อนครับเราร้องตาม
เธอหยุดและหันมามองเรา
มีอะไรหรือเปล่าคะคุณ
ไม่ทราบว่าที่นี่มีคนชื่อ วริญญาอยู่ไหมครับ เราถาม
เธอมองหน้าเราอย่างพิจารณา
เราก็ถามย้ำกลับไปอีกว่า วริญญา ที่มาจากขอนแก่นมาเรียนแพทย์ เธออยู่นี่ใช่ไหมครับเราย้ำ
คุณเป็นอะไรกับคุณริญคะเธอถาม
แสดงว่าริญอยู่นี่ใช่ไหมครับเราถามด้วยความอยากรู้
ใช่ค่ะคุณริญเธออยู่นี่และกำลังแต่งตัวจะไปเรียนอยู่สักพักคงออกมา เธอบอก
ผมเป็นเพื่อนกับริญครับตั้งแต่อยู่ขอนแก่นโน้นชื่อทิวครับ
เธอหยิบซองจดหมายขึ้นมาดู พร้อมกับพูดว่า
แสดงว่าจดหมายนี่เป็นของคุณสิคะ เธอถาม
แล้วทำไมไม่รอส่งให้กับคุณริญเองล่ะคะเดี๋ยวเธอก็ออกมา ผู้หญิงคนนั้นกล่าว
คือผมมีธุระรีบไปครับ คุณช่วยฝากให้เธอด้วยครับ วันหลังผมจะมาใหม่ ฝากด้วยนะครับ เราย้ำ
ก็ได้ค่ะ เธอรับปาก เราขอบคุณเธอก่อนที่จะเดินขอตัวห่างออกมา แอบซุ่มอยู่ไม่ไกลจากแถวนั้นต่อ
  

หลังจากเธอคนนี่กลับเข้าไปในบ้าน
เราก็เห็นหญิงสาวใส่ชุดนักศึกษาวิ่งออกมากับผู้หญิงคนเดิม
มองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาใคร
เราซึ่งซุ่มอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าบ้านนั้นก็เห็นเหตุการณ์อยู่ตลอด
ริญ เธอคือริญ เราอยากจะวิ่งออกไปหาเธอและร้องตระโกนให้ดังๆให้เธอได้ยินว่าเราอยู่นี่

ในความรู้สึกของเราเวลานี้อยากโผเข้าไปกอดเธอให้หายคิดถึง
อยากบอกเล่าเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราให้เธอฟังด้วยตัวของเราเอง
แต่ก็ได้แต่ข่มใจไว้
เก็บความรู้สึกภายในเอาไว้
แต่น้ำตาเจ้ากรรมมันก็ชั่งไม่เป็นใจ
มันไหลเคลียแก้มด้วยความยินดีและดีใจมากมายที่ได้พบเจอหน้าหวานของเธออีกครั้ง
เราจับจ้องมองดูเธอไม่ยอมละสายตา
เห็น วริญญาเดินไปมาอยู่หลายเที่ยวกระวนกระวายชัดเจน
และเธอได้พูดคุยกับหญิงสาวคนที่ออกมาด้วยอยู่ไม่ขาด
นับแต่เราจากันที่ขอนแก่นที่สถานีรถไฟวันนั้นจนกระทั่งเราถูกรรมซัดพาไปอยู่ทะเลกว้าง
จนถึงวันนี้ก็สองเดือนเศษแล้ว
เธอยังสวยอ่อนหวาน งดงามอยู่เหมือนเดิม
เพียงแต่ผมของเธอเวลานี้ไว้ผมยาวต่างจากเดิม
ยิ่งมองยิ่งลับกับใบหน้าที่อ่อนหวานของเธอ
เธอเดินไปมาจนแน่ใจ
เธอจึงกลับเข้าไปในบ้านและมีรถเก๋งขับออกมารับเธอออกจากบ้านไป

นี่เป็นครั้งแรกในรอบเกือบสามเดือนที่เราจากกัน
และได้กับมาพบเจอหน้าเธออีกครั้งด้วยความดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
แต่สำหรับริญแล้ว
วันนี้คงเป็นวันที่เธอทรมานใจ และกระวนกระวายเป็นที่สุด
ที่รู้ว่าเรามา แต่เธอกลับไม่ได้เห็นหน้าพบปะพูดจากันตามประสาคนที่รักกันมาและจากกันนานหลายเดือน

ทิวต้องขอโทษนะริญ
ทิวยังไม่พร้อม
ทิวรู้ว่าภายในหัวใจของริญเจ็บปวดอย่างไร
และทิวก็มั่นใจว่าชาตินี้เรารักกันมากเกินกว่าสิ่งใดจะมากั้นขวางได้และคงรักใครไม่ได้อีกแล้ว
เช่นเดียวกับทิว คำสัญญา ความผูกพัน
รอยรักในอดีต ภาพรักในใจ มันยังคงหวานตรึงติดแน่นอยู่ในใจของเราทั้งสองคน มิมีแปรเปลี่ยนไปได้
แล้วทิวจะกลับมาริญ ไม่นาน ไม่นานแน่ริญ ทิวจะกลับมา

หลังจากที่เธอออกจากบ้านไปได้ซักครู่ใหญ่เราก้ออกมาจากที่ซุ่ม
เดินหน้าตรงไปตามแนวซอยหลังสวนจนสุดทาง
เจอห้างสรรพสินค้าใหญ่ห้างหนึ่งตั้งเด่นอยู่ฝั่งตรงข้าม
เราเดินตรงออกไปที่ถนนใหญ่
ดูจากป้ายเขียนว่าถนนเพลินจิต
เราเลี้ยวขวามุมถนนเดินตรงไปเรื่อยๆไม่มีเป้าหมาย
เดินข้ามทางรถไฟเข้าถนนสุขุมวิท และเดินตรงต่อไปเรื่อยจนมาถึงทางแยก
เราวิ่งข้ามถนนมาอีกฝั่ง เป็นถนนอโศก
ข้างถนนมีป่าร้างเล็กๆอยู่ข้างทาง ผู้คนก็ไม่ค่อยมาก
เราจึงเดินเข้าไปตรงป่าละเมาะนั้น
เอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ข้างทางนั่งชันเข่า
หยิบก้อนหิน ปาโน้นปานี่ไปเรื่อย
ภายในหัวใจมันร้อนรุ่มเหมือนมีไฟเผากองใหญ่อยู่ในหัวใจ
มันเจ็บปวดทรมานยิ่งนักเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาได้

ส่วนอีกความคิด
ก็ยังโลดแล่นและตั้งใจอย่างมั่นคงว่าต้องหางานทำให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก
เราคิดและนั่งอยู่ที่นั่นนานเท่าไหร่ไม่รู้

จนได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งมายืนเรียกเรา
ไอ้น้องๆๆ
เราหันออกมาทางริมถนนอโศกก็เห็นผู้ชายคนนั้นกำลังเดินเข้ามาหาเรา
มาหางานทำเหรอน้อง ชายคนดังกล่าวถาม และนั่งย่อเข่าลงตรงหน้าเรา
เรายังไม่ตอบ

ผู้ชายคนนี้ก็ถามต่ออีกว่า
มาจากไหนล่ะ
ผมมาจากปัตตานี เราตอบไป

มาจากใต้เหรอ เป็นคนใต้หรือ ไม่น่าละ ดูจากสีผิวกับเส้นผมก็บอกยี่ห้อแล้ว
 ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ
ผมเป็น คนอีสานครับ
ผมเกิดที่มหาสารคาม
แต่น้าเอาไปเลี้ยงอยู่ที่ขอนแก่น น้าไม่มีลูก และผมก็โตอยู่ที่โน้น
และทำงานอยู่ที่โน้น เราอธิบายให้เขาฟัง 
แล้วทำไมออกมาซะล่ะ ชายคนดังกล่าวถาม
ผมมาตามหาแฟนเธอมาเรียนที่กรุงเทพ
แต่วินาทีแรกที่ผมมากรุงเทพผมก็ได้รับความทรงจำไม่ดีเลย
โดนแท็กซี่พาไปปล่อยที่สวนจตุจักรทั้งที่ผมจะมาสวนลุม 
และผมก็ถูกหลอกจนไปทำงานที่เรือตังเกที่ปัตตานีได้เดือนกว่าผมจึงโชคดีกลับเข้ามากรุงเทพนี้อีกครั้ง
เราบอกเล่าให้ชายคนดังกล่าวฟัง
แล้วนี่ได้งานหรือยังล่ะ เขาถาม
ยังเลย ผมยังเริ่มต้นไม่ถูก เราตอบ
ไปทำงานกับพี่ไหมล่ะ ชายคนดังกล่าวชวน

ผมไม่ไปทำงานกับพวกจัดหางานอีกแล้วพี่เข็ดจนตาย พี่อย่ามาชวนผมเลย ผมไม่ไปหรอก เราปฏิเสธเขาไป
และแล้วชายคนดังกล่าวก็ลุกขึ้น
ล้วงไปในกระเป๋ากางกาง หยิบบัตรประชาชนของเขาส่งให้เรา
เราลังเลเล็กน้อยแต่ก็หยิบบัตรมาดู
พี่ชื่อพงษ์ศักดิ์ เรียกพงษ์ก็ได้ เขาแนะนำตัว
พี่เป็นหัวหน้างานอยู่ใกล้ๆนี้ เดินเข้าไปในซอยคาวบอยนี่เอง
พอดีคนงานพี่มันมาเรื่องด่วนเลยออกกลับบ้านไปคนหนึ่งพี่ก็เลยออกเดินหาคนงานมาเสริมแทน
แต่ก็ไม่ได้ เลยกำลังจะเดินกลับบริษัทที่พี่พักอยู่ก็พอดีมาเจอน้อง
ไปทำงานกับพี่ไหมล่ะ นายเขาให้ 3,500 บาทต่อเดือน
เดินไปดูกับพี่ก่อนก็ได้ด้านในนี้ไม่ถึงสองร้อยเมตร ใกล้ๆกับ ม.ศ.ว.ประสานมิตร
ไม่พอใจก็ไม่เป็นไร พี่พงษ์ศักดิ์บอกับเรา
เราจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินตามเขาเข้าไป
พี่พงษ์พาเดินเข้าไปปากซอยสุขุมวิท23เขาเรียกว่าซอยคาวบอย
เราสังเกตมีบาร์ อะโกโก้เต็มไปหมด
จึงถามพี่พงษ์ว่าบาร์ อะโกโก้มันคืออะไรครับพี่
ถ้าน้องอยู่นี่เดี๋ยวกลางคืนพี่จะพาเดินมาดูรับรองน้องไม่เคยเห็นมาก่อนแน่ พี่พงษ์บอก 
และไม่นานเราก็เดินมาถึงพี่พงษ์พาเข้าไปข้างใน
มีรั้วรอบขอบชิดเป็นแนวชัดเจน มีบริเวณมีพื้นที่กว้างขวาง มีต้นไม้ร่มรื่น มีตึกใหญ่ตั้งเป็นประธานอยู่หลังหนึ่ง ส่วนข้างๆเป็นอาคารเรือนไม้ชั้นเดียวปลูกเป็นแนวยาว มีระเบียง มีต้นตาขบอยู่ด้านหน้า กั้นห้องไว้ใช้งานเป็นสัดส่วน ด้านนอกอาคารไม้มีกรอบไม้ขึงผ้าวางกองไว้เยอะมาก เราได้กลิ่นสีคละคลุ้งไปหมด

นี่แหละที่ทำงานพี่และก็เป็นที่พักอาศัยอยู่นี่ด้วย
ปกติเราจะอยู่กัน5คนรวมพี่ แต่ตอนนี้เหลือสี่คน ถ้าน้องมาอยู่ด้วยก็จะเป็นห้าคนเหมือนเดิม
ที่พวกเราทำนี่เขาเรียกว่างานพวก ซิลค์สกรีน ที่เห็นนั่น เขาเรียกบล็อก เราตามที่เขาสั่งมาเอาไว้สกรีนภาพหรือข้อความต่างๆลงในผืนผ้าใบบ้าง สติ๊กเกอร์บ้าง เสื้อบ้างแล้วแต่เขาสั่งมา
ซึ่งนายเขาจะเป็นคนหางานมาป้อนเราเองเรามีหน้าที่แค่ทำ หยิบๆจับๆอยู่ตามนี้แหละ
นายพี่เขาทำงานที่บนตึกใหญ่โน้น เป็นของบริษัทฝรั่งชื่อบริษัท คอบร้า
แต่ของเราที่ทำไม่เกี่ยวกับเขาหรอก แต่นายพี่เขาขอเช่าพื้นที่รับงานมาทำ
แล้วก็มาจ้างพวกเรานี่แหละ งานก็มีอัดบล็อก ทากาวแต่งบล็อก แล้วก็สกรีน ล้างทำความสะอาดบล็อกก็มีเท่านี้คือหน้าที่เรา พี่พงษ์อธิบาย
ส่วนที่นอนก็นอนด้วยกันห้าคนหรือใครอึดอัดก็ออกมาปูเสื่อนอนระเบียงได้หรือศาลานั่งเล่นตรงต้นตาขบก็ได้ ตามสะดวก ส่วนอาหารก็หากินเองตัวใครตัวมัน พอไหวไหม พี่พงษ์ถามเรา 
ตอนนี้ก็เย็นแล้วเราคงต้องตัดสินใจอยู่ที่นี่ไปก่อนพอตั้งหลักได้ค่อยว่ากันใหม่
จึงตอบพี่พงษ์ว่าตกลงครับผมอยู่ด้วย
พี่พงษ์บอกดีเลยงั้นเอากระเป๋าไปเก็บไปอาบน้ำอาบท่าก่อนค่อยมาคุยกันต่อ
แล้วพี่พงษ์ก็พาเราเดินทำความรู้จักที่ทำงานและที่พักใหม่พร้อมแจกแจงรายละเอียดงานให้ฟัง 
เมื่อเราอาบน้ำเสร็จสรรพก็เดินออกมาหาพี่พงษ์ที่ระเบียงด้านนอก
เป็นไงสบายตัวขึ้นไหม พี่พงษ์ถาม
ดีครับ ผมเพิ่งได้อาบน้ำจืดครั้งนี้เป็นครังที่สองในรอบเดือนกว่าครับ เราเปรยออกไป
ชื่ออะไรล่ะเรา พี่พงษ์ถาม
ผมชื่อทิวครับ
เรียนจบอะไรมาล่ะ พี่พงษ์ถามต่อ
ผมจบ ม.3 เองครับ เราตอบ
ดีกว่าพี่อีก พี่มาจากบ้านมีความรู้ติดตัวมาแค่ ป.6 เอง พี่มาเรียนการศึกษาผู้ใหญ่
เพิ่งจบ ม.3 ไม่กี่วันนี่เอง
และเดี๋ยวสักครู่ พี่ก็จะออกไปสมัครเรียนต่อ ม.ปลาย พี่พงษ์บอก

พอได้ยินพี่พงษ์บอกเราสนใจขึ้นมาทันที
เพราะนี่คือสิ่งที่เราตั้งความหวังเอาไว้อย่างสูงสุดในชีวิต
คือได้เดินกลับเข้าไปในสถานศึกษาอีกครั้ง
กลับไปเก็บโอกาสต่างๆที่มันตกหล่นหายไปจากชีวิตมันกลับคืนมา
เราเริ่มสอบถามพี่พงษ์ถึงเรื่องนี้

แล้วการศึกษาผู้ใหญ่เขาเรียนกันยังไงครับ เราสอบถาม
เรียนภาคค่ำทิว อาจจะไม่เหมือนภาคปกติเขาซะทีเดียว
แต่สำหรับคนจนที่ขาดโอกาสอย่างเรา 
นี่ก็คือโอกาสหนึ่งที่เราไม่ควรปล่อยให้หลุดมือไป พี่พงษ์บอกกับเรา
อยู่ไกลไหมครับ เราถามด้วยความสนใจ
วัดธาตุทอง ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลนั่งรถเมล์ไปเดี๋ยวเดียว สนใจไหมล่ะพี่พงษ์ถาม
สนสิครับพี่ นี่คือความหวังสูงสุดผมเลย
แล้วมีค่าใช้จ่ายเยอะไหมครับ เราถามพี่พงษ์ต่อด้วยความอยากรู้
ก็นิดหน่อย ไปสมัครกับพี่ไหมล่ะจะได้ไปเรียนด้วยกัน พี่พงษ์ชวน
ไปครับ เรารีบตอบ
แต่ตอนนี้ผมมีเงินสดติดตัวแค่ห้าสิบบาทเองครับ 
รอสิ้นเดือนก่อนดีกว่า เราบอกกับพี่พงษ์

โอ้ย.!! รอสิ้นเดือนเขาก็ปิดรับแล้วต้องรอรุ่นใหม่อีกยาวเลยทิว
ไปแต่งตัวไปเตรียมเอกสารให้พร้อม
เดี๋ยวพี่ออกค่าใช้จ่ายให้ก่อนไว้สิ้นเดือนทิวค่อยคืนพี่ พี่พงษ์บอก
เรารีบลุกไปแต่งตัวเตรียมเอกสารสำคัญ ใบ ร.บ. ม.3
สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
แต่ขาดรูปถ่าย
จึงมาบอกพี่พงษ์

พี่พงษ์บอกไม่เป็นไรทิวไปสมัครไว้ก่อน
รูปถ่ายเดี๋ยวพี่พาไปถ่ายไว้ก่อน กว่าจะได้ก็อีกหลายวัน
ค่อยเอาไปให้เขาภายหลังก็ได้ 

เราดีใจที่สุด เราคิดอยู่เสมอมาว่าต้องมีวันนี้ให้ได้
เพราะสิ่งเดียวที่เรากล้าพูดตั้งแต่เกิดมาว่าไม่เคยเป็นที่สองรองใครคือเรื่องเรียนนี่เอง
เราสอบได้ที่หนึ่งมาตลอดจนจบ ม.3 และเคยเป็นตัวแทนของโรงเรียนเข้าสอบแข่งขัน
ได้ที่หนึ่งมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
 แค่เราได้สวมเครื่องแบบนักศึกษา ถือตำราเดินเข้าห้องเรียนได้อีกครั้ง
ชีวิตเราก็เดินไปถูกทางที่เราหวังไว้แล้ว

เราคิดถึงตรงนี้ เราดีใจจนน้ำตาไหลออกมา
และก้มกราบพี่พงษ์ด้วยความขอบคุณและดีใจอย่างที่สุด

พี่พงษ์ตกใจ เมื่อเห็นเราก้มกราบ
แล้วรีบลุกขึ้น
ทำอะไรวะทิว พี่พงษ์ถามด้วยความตกใจ
พี่พงษ์นั่งลงเถอะครับ
ขอให้ผมได้ขอบคุณพี่ซักครั้งที่ทำให้ผมเดินเข้าสู่เส้นทางที่ผมคาดหวังมาโดยตลอด 
เราพูดกับพี่พงษ์
โอ๊ยไม่ต้องทำถึงขั้นนี้หรอกทิว พี่พงษ์ปรารภออกมา
แต่ผมตั้งใจเรื่องนี้มาตลอดเลยจริงครับ เราบอกกับพี่พงษ์
นี่มันแค่เริ่มต้นนะทิว พี่พงษ์บอกกับเรา
แต่นี่เป็นการเริ่มต้นในสิ่งที่ผมคาดหวัง และตั้งใจมาตลอดครับ
และผมจะเดินไปแนวทางนี้โดยไม่ยอมหลบออกนอกเส้นทางอีกแล้ว
จนกว่าผมจะถึงจุดที่ผมพอใจ
อนาคตของผมอยู่ที่เส้นทางนี้นี่เองครับ แล้วจะไม่ให้ผมขอบคุณพี่ได้ยังไง 
เราอธิบายพร้อมยืนยันการกระทำ

เอาล่ะลุกขึ้น รอพี่เดี๋ยว พี่ไปแต่งตัวก่อนเดี๋ยวจะออกไปกัน
ว่าแล้วพี่พงษ์ก็รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัว
รออยู่จนพี่ที่ทำงานด้วยกันอีกสามคนที่ออกไปหาอาหารกินกันกลับเข้ามา
พี่พงษ์แนะนำเราให้รู้จักกันกับเพื่อนทั้งสามคนแล้วเราก็เดินออกไปกัน

อันดับแรกพี่พงษ์พาไปตัดผมที่แดงกรอบออกเสียก่อน
แล้วพาไปถ่ายรูปจากนั้นพาไปสมัครเข้าเรียน
เราได้ตำรามาด้วยความดีใจ
พี่พงษ์บอกว่าที่นี่เขามีฝึกอาชีพด้วยนะทิววันอาทิตย์ งานเราหยุด ถ้าสนใจก็สมัครไปเลย
โอกาสมาถึงแล้วก็อย่าปล่อยมันไป
เราสมัครเรียน ม.ปลายและสมัครเรียนฝึกอาชีพอีก

กลางวันทำงาน กลางคืนไปเรียน วันหยุดไปเรียนอาชีพ
เราเรียนมันทุกอย่างที่เราสามารถเรียนได้ ที่เวลาเอื้ออำนวยให้
มีการอบรมเชิงวิชาการ เสวนาที่ไหนถ้าเรารู้และเขาเปิดโอกาสเราก็ไปมันทุกที่
เราเข้าอบรมการฝึกพูด เข้าอบรมพัฒนาบุคลิกภาพ
เรียนช่างอิเลคทรอนิคส์
เราทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย
เป็นเวลา 2 ปีเราก็จบ ม.6 สมดังหมาย
พี่พงษ์ก็จบเช่นกัน
เราชวนกันไปสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
พี่พงษ์เข้าเรียนคณะนิติศาสตร์
ส่วนเราเข้าเรียนคณะรัฐศาสตร์ภาควิชาการปกครอง
พวกเรามุ่งมั่นขยันขันแข็ง
มีเวลาว่างจากงานในบางวันเราก็ไปนั่งเรียนรวมกับพวกที่ห้องเรียนที่ราม
ไม่มีเวลาเราก็ทำงานและอ่านหนังสือ
ในระหว่างเรียนเราได้เสริมทักษะให้ตัวเองโดยการเป็นติวเตอร์ให้เพื่อน น้องๆที่รามด้วยกัน
จนเกิดทักษะและกลายเป็นประโยชน์ต่อการเรียนของตัวเองไปด้วย
บางวันเราไปสอนการบ้านเด็กตามบ้านในช่วงเวลาเย็นหลังเลิกงาน
เราทำอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาเรียน
และอีกทางหนึ่งเราก็เพิ่มพูนความรู้ให้ตนเอง
ด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการต่างๆอย่างไม่ลดละ
เข้าอบรมเรียนการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐานต่างๆจนช่ำชอง
และเราสำเร็จการศึกษาเมื่อปี2532 รวมจากเรียน ม.ปลายและปริญญาตรี เพียงแค่ 5 ปี
คือเรียน ม.ปลาย 2 ปี เรียนปริญญาตรี 3 ปี เราจึงสำเร็จการศึกษา
พร้อมสั่งสมประสบการณ์ความรู้ต่างๆไว้พร้อมสรรพ
เราพร้อมแล้วที่จะรับใช้สังคม
เราไปสมัครเป็นครูสอนโรงเรียนเอกชน
และอาสาตัวเองไปสอนพิเศษตามศูนย์ กศน.
หรือการศึกษานอกโรงเรียน เพื่อตอบแทนโอกาสที่เราได้รับมา

ในระยะเวลาที่เราตั้งหน้าตั้งตาเก็บฝันตัวเองที่หล่นหายไปกลับคืนมา
เราก็ได้แอบไปดูความเคลื่อนไหวของริญอยู่เป็นระยะๆตลอดมา
และได้แอบเขียนจดหมายบอกกล่าวเรืองราวความเคลื่อนไหวของเรา
ให้ริญรับรู้มาโดยตลอดเช่นกัน
และได้หาโอกาสโทรศัพท์พูดคุยกันอยู่ไม่ได้ห่างหายเลยเช่นกัน
ขณะที่เราเติมความรู้ให้กับตัวเองเราทั้งสองก็แอบเติมรักใส่ใจกันตลอดมา

เมื่อเรียนจบเราขอลาออกจากงาน
และยึดอาชีพเป็น ติวเตอร์ สอนตามหน้ารามบ้าง ตามโรงเรียนกวดวิชาบ้าง
สอนการบ้านเด็กตามบ้านบ้าง
ส่วนที่พักของเราขณะนี้
เราได้ย้ายมาเช่าห้องเล็กๆเป็นส่วนตัวอยู่ที่ถนนสุขุมวิท 55 หรือซอยทองหล่อ

ส่วนพี่พงษ์ได้สอบเข้าเรียนเนติบัณฑิตอีก
เพื่อมุ่งสู่งานอาชีพทนายความที่พี่เขาคาดหวังเช่นกัน
แม้เราจะลาออกงานแล้วทั้งคู่เราก็ยังคบหากันแบบพี่น้องร่วมท้องเดียวกันตลอดมา

ชีวิตเราเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและค่อนข้างมีอิสระมีเวลาที่ควบคุมและจัดการได้แล้ว
เราจึงนัดเจอกับริญหลังจากเสร็จงานแล้วและเธอเลิกจากเรียนในเย็นวันนี้
เราไม่ได้นัดเจอกันที่บ้าน
แต่เรานัดเจอกันที่สวนลุมพินี
นี่เป็นครั้งแรกจริงๆตั้งแต่เราจากกันที่ขอนแก่น ที่จะได้กลับมาเจอกันตัวเป็นๆ
อีกครั้ง หลังจากที่เราได้ยินแต่เสียงกันมานานและคอยให้กำลังใจกันและกันเรื่อยมานับห้าปี
และเราจะได้ถือโอกาสนี้พูดคุยกับริญในเรื่องความรักของเราที่สุกงอมแล้วเต็มที่
เพราะวันนี้เราพร้อมแล้ว
พร้อมทุกอย่างที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเธอทุกเส้นทาง
เรามาไกลยิ่งกว่าที่ใครคาดคิดไว้อีก
วันนี้แหละ วริญญา ทุกนาทีของวันนี้จะเป็นเวลาที่หัวใจของเราสองคนจะได้พูดคุยกัน
ส่งผ่านความรู้สึกต่างๆที่ได้เผชิญมาและมีอยู่ รออีก ชั่วอึดใจนะคนดี

เมื่อนัดหมายสถานีที่กันเสร็จสรรพ
ใกล้ได้เวลาตามนัดเราก็แต่งตัว
ตามสไตล์ที่ริญคุ้นเคยสายตา
คือเสื้อยืดกางเกงยีน รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตพับครึ่งแขนตามด้วยหมวกแก๊ป
อย่างเดิมที่ วริญญาเธอคุ้นเคยตา เพียงแต่มันเป็นคนละชุดกันแล้วเท่านั้น
และเราก็ได้เตรียมของขวัญพิเศษติดมือไปด้วยหวังให้เธอแปลกใจ
เราไปถึงที่หมายเป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็น
ภายในสวนลุมมีคนเข้ามาวิ่งออกกำลังกายเป็นจำนวนพอสมควร
บางกลุ่มก็จับกลุ่มรำมวยไทเก๊กกันอยู่เป็นกลุ่มๆ
ใต้เงาร่มไม้ก็มีหนุ่มสาวหลายคู่แอบสานสัมพันธ์กัน
นั่งยึดเงาไม้ที่เหมาะๆกันเป็นคู่ๆอย่างน่าอิจฉา

แต่ไม่นานคู่รักของเราก็คงมา
ขณะที่เรายืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าสวนลุมฝั่งพระบรมนุสาวรีรัชกาลที่6 ตามนัด
ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดนักศึกษา เดินมองซ้ายมองขวาเหมือนมองหาใครอยู่
เราจึงมุ่งตรงเข้าไปหาเธอ จ้องมองด้วยความสนใจ
จนเราเชื่อในสายตาของตัวเองอย่างมั่นใจ
จึงเรียกเธออกไป
วริญญา
เธอหันมาตามเสียง
หยุดมองหน้าเราอยู่ครู่หนึ่งจึงวิ่งเข้ามาหาพร้อมเสียงเรียก
ทิวๆๆ
เราสองดีใจอย่างสุดขีด
เราไม่เขินอายสายตาของผู้คนแม้เป็นที่สาธารณะ
เราโผเข้ากอดกันอย่างแนบแน่นให้สมกับที่จากกันมาเป็นเวลาแสนนาน
และให้สมรัก สมกับคิดถึง เรายืนกอดกันอยู่นานจนได้สติ 
เห็นคนมองมาทางเราอยู่หลายคู่สายตา
เราทั้งสองจึงคลายมือออกจากกัน และเดินจูงมือกันเกี่ยวก้อยร้อยแขนเดินเข้าไปในสวนลุม
หาที่นั่งและเพื่อให้เวลากับหัวใจของเราสองดวงได้อยู่ใกล้ชิดกันและพูดคุยกันอีกครั้ง

เราสองคนเดินไปนั่งใต้ต้นจามจุรีใกล้สระน้ำขนาดใหญ่ภายในสวนลุม
เรานั่งลงเบียดชิดร่างข้างกายกันโดยที่มือสองเราไม่ยอมปล่อยจากกัน

เสมือนหนึ่งว่าจะบอกความใน ว่าไม่อยากจากกันอีกต่อไปแล้ว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น