ยินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับคนใจช้ำที่ถูกย่ำยีมาไม่ว่าคุณจะเป็นใครเราคือเพื่อนกัน

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไดอารีสีดำ14


เราสองคนไม่ได้มาเริ่มต้นอะไรกันเลยเราไม่ได้เขินอายต่อกันแม้ไม่เจอกันมาหลายปี
แต่ก็ได้สนทนากันอยู่ตลอดผ่านทางโทรศัพท์และจดหมาย

ทิวดูซูบไปนะจ๊ะ ริญเป็นฝ่ายเริ่มต้นการสนทนาก่อน
คงเป็นเพราะทิวคิดถึงริญมากไป เราหยอดกลับ
ยังมีหน้ามาพูดอีก
คราวก่อนที่มาจากใต้ทำไมหลบหน้าไม่ยอมอยู่เจอ ริญก่อน
รู้ไหมว่าคืนนั้นริญร้องไห้ทั้งคืน เธอย้อนอดีต กลับไปเมื่อวันที่เรากลับจากใต้
และแวะมาหาเธอถึงหน้าบ้านแต่กลับไม่กล้าเจอหน้าเธอ

ทิวต้องขอโทษนะริญ
ตอนนั้นทิวตั้งตัวไม่ทันจริงๆ อีกทั้งยังรับสภาพตัวเองไม่ได้
ริญรู้ไหมวันนั้นสภาพของทิวเหมือนเงาะป่าก็ไม่ปรานทิวเลยไม่กล้าเจอริญ
เราพยายามอธิบายสิ่งที่เธอยังคาใจและกล่าวขอโทษเธอ

เรารักกันนะทิว รักมาตั้งแต่เด็ก รักกันมาตั้งนาน
ที่ขอนแก่นโน้น ที่บึงสีฐานโน้น เราไม่เคยห่างกันเลยทิวจำได้ไหม
ริญไม่ได้รักทิวที่หน้าตา
จริงอยู่วันแรกที่ริญเจอทิว
รูปร่างหน้าตาทิวมันสะดุดตาและดูมีเสน่ห์ทำให้ริญแอบปลื้มอยากรู้จัก
แต่พอริญได้ใกล้ชิดรู้จักทิวมากขึ้น ทิวกลับมีสิ่งที่มีเสน่ห์มากกว่านั้น
ทิวมีความเป็นผู้ใหญ่ ใจดี อบอุ่น จริงใจ มุ่งมั่น พูดตรง ไม่ก้าวร้าว
ซึ่งหลายสิ่งที่ทิวมี ริญไม่มี
ริญเป็นลูกสาวคนเดียวไม่มีพี่น้อง
 วันๆหลังจากเลิกเรียนก็กลับมาบ้านขายของอ่านหนังสือ
ชีวิตของริญมีเท่านั้น
จนทิวมาเติมเต็มสิ่งที่ริญขาดไปจนริญรู้สึกว่าทิวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
แล้วริญจะรังเกียจทิวทำไมล่ะจ้ะ
 เธอพูดความในใจเหมือนอัดอั้นมาแสนนานให้เราฟัง
ทีหลังอย่าหนีหน้าริญอีกนะทิว เธอพูดย้ำด้วยท่าทางที่จริงจังพร้อมกับมองหน้าเรา

เราโน้มตัวเธอเข้ามากอดโอบไหล่เธอ
ทิวขอโทษริญอีกครั้ง
ทิวคิดมากไปเอง
ยกโทษให้ทิวนะริญ
เธอทิ้งตัวลงหนุนตักแทนคำตอบ
และจับมือเราขึ้นมาจับนิ้วมือไปทีละนิ้วๆ

ริญจ้ะตอนนี้ทิวเรียนจบปริญญาตรีแล้วและก็กำลังจะเรียนปริญญาโท
มีงานทำที่พอเลี้ยงตัวและครอบครัวได้แล้ว
ทิวพร้อมแล้วที่จะแต่งงานกับริญ
แต่งงานกับทิวนะริญ
เราจะกลับบ้านเราที่ขอนแก่น
ทิวจะไปเปิดโรงเรียนกวดวิชาที่นั่น
ให้ความรู้กับเด็กๆอีสานบ้านเรา

เธอดันตัวขึ้นมานั่งและโอบกอดเราเข้าไปอีก
พร้อมกับร้องไห้
ริญดีใจที่สุดทิว
ในที่สุดริญก็ได้ยินคำนี้จากปากของทิว
ในที่สุดทิวก็ทำได้
ในที่สุดเราสองคนก็มาถึงวันนี้
ริญจะแต่งงานกับทิวจ้ะริญพร้อมที่จะครองคู่กับทิวไปทุกภพชาติตามสัญญาเราไงจ้ะทิว
เธอพูดไปท่ามกลางน้ำตาที่ไหลคลอพร้อมกับร่างที่เบียดซบอยู่ไม่ยอมห่างจากกายเรา
ขณะที่เราเองก็ไม่ยอมที่จะปล่อยมือจากเธอเช่นกัน
เธอเงียบไปซักครู่ ก่อนจะเอ่ยวาจาขึ้นมา

แต่ทิวรออีกหน่อยได้ไหมจ้ะ ริญพูดด้วยความลังเล
ทำไมจ้ะริญ เราถามเธอด้วยความสงสัย
ริญยังเรียนไม่จบเลย ยังเหลืออีกปีหนึ่งเธอตอบ

นี่ห้าปีแล้วนี่จ้ะริญ ริญจบปีนี้ไม่ใช่หรือจ้ะ
ยังจ้าทิว ทีแรกริญก็คิดว่า ห้าปี
แต่ความจริง นักศึกษาแพทย์ต้องเรียนหกปีจ้า

ปีที่ 1-3 เป็นการเรียน  ปรี คลีนิค
ส่วนปีที่ 4-6 เป็นการเรียน คลีนิค

ในปีที่ 1 จะเป็นการเรียนปรับพื้นฐานตั้งแต่ ม.ปลาย
เป็นการทบทวนกระบวนวิชาต่างๆที่เคยเรียนมาจาก ม.ปลาย
ทั้งฟิสิกส์ และประวัติความเป็นมาต่างๆของวิชาแพทย์

ปี 2 เรียนเน้นเกี่ยวกับร่างกายที่ปกติของคนเรา
และจะได้ ผ่า กรอส เรียนกับอาจารย์ใหญ่ หรือผ่าศพจ้ะทิว

ปี 3 เรียนเน้นไปที่ร่างกายที่ผิดปกติ
หลังจากที่เราเรียนร่างกายที่ปกติมาแล้วว่ามันเป็นยังไงในปี 2

จากนั้นก็จะเข้าเรียนคลีนิกในปีที่ 4-6
ช่วงปีนี้เราก็เริ่มจะได้ใช้เครื่องมือแพทย์
เช่นหูฟัง และได้เริ่มเข้าตรวจคนไข้ จ้ะทิว

วริญญาเธอได้อธิบายโครงสร้างวิชาที่เรียน
และศัพท์แสงทางการแพทย์ของเธออย่างคล่องแคล่วเป็นฉากๆอย่างแตกฉาน
แม้เราไม่มีความรู้เลยยังพอจะเข้าใจที่เธออธิบายมา

ตกลงจ้ะริญทิวจะรอจนถึงวันนั้น
แต่ริญต้องสัญญาว่าเราจะหาเวลามาพบเจอกันทุกเย็น
ให้เหมือนกับตอนที่เรายังอยู่ที่บึงสีฐาน ริญตกลงไหม

ตกลงจ้าทิว
เราจะใช้ที่นี่เป็นที่นัดพบกันเหมือนกับที่บึงสีฐาน
ริญคิดถึงจังเลยทิว
ไม่รู้ป่านนี้หญ้าจะขึ้นเต็มไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้
ริญคิดถึงมอดินแดง
ริญอยากกลับบ้านจังเลยทิว
เราบีบมือเธอแน่นแล้วดึงเธอเข้ามาโอบไหล่

และเราก็ได้จับมือเธอขึ้นมา
หยิบแหวนพลอยสีชมพูอ่อนที่เราเตรียมมา
ริญจ้ะ เราเรียกเธอ
เธอมองหน้าแล้วก็ลุกนั่ง
ทิวไม่มีของล้ำค่ามาให้ริญนะจ้ะ
ทิวมีแหวนพลอยวงเล็กๆที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร
แต่มันแทนความรักจากทิวทั้งหัวใจ จะมอบให้ริญ
ริญยิ้มก่อนที่จะส่งมือให้เราสวมแหวนพลอยใส่นิ้วนางข้างซ้ายให้เธอ
ขอบใจนะทิว
ริญจะรักษารักเราไว้ด้วยชีวิต นี่คือคำมั่นและเป็นสิ่งที่ริญจะให้ทิวจ้ะ
เมื่อสมควรแก่เวลาเราก็เดินกลับมาส่งริญที่หน้าบ้านซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลกัน


เรากลับถึงห้องพักวันนี้ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
ที่สายสัมพันธ์รักเราสองคนอย่างแนบแน่นฝังตรึง
และนับวันแต่จะเพิ่มพูนงอกงามขึ้น
คิดไปก็น่าแปลกใจกับชีวิตของตัวเราเอง
ได้เรียนหนังสือต่อเนื่องเพียงแค่ ม.3
และต้องจากบ้านมาหางานทำ
วันสงกรานต์ซึ่งเป็นวันหยุดแท้ๆ แต่เรากลับไม่ได้หยุด
และกลายเป็นวันที่ชักนำให้เราและริญได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก
และคบหาสานสัมพันธ์กันมาจนแนบแน่นถึงวันนี้

สิ่งที่ค้างคาใจเราและเรากังวลที่สุดตอนนั้นคือ
ช่องว่างระหว่างเรากับริญจะไกลห่างออกไปจนมองไม่เห็นกัน
ตอนนั้นเราคาดหวังเพียงว่าจะทำอย่างไรจึงจะรักษาระยะห่างนี้ไม่ให้มันห่างไกลเกินไป
เราต้องการเพียงแค่เดินตามหลังเธออยู่ห่างๆพอมองเห็นกัน
พอตระโกนคุยกันได้ยิน ไม่เคยคิดฝันว่าจะเดินมาจนทันเธอ
และได้จับมือกับเธอในระยะเดียวกันได้
เวลานี้เราจบ ปริญญาตรี มีงานทำ 
มีรายได้ที่ดีมากถ้าเทียบกับสมัยก่อน
ระหว่างรอคอยวันที่ริญเรียนจบ
เราจึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทเพื่อคร่าเวลา
และปีหน้าเราก็จะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร
ได้สวมชุดครุยวิทยะฐานะของบัณฑิตอย่างเต็มภาคภูมิ

ส่วนเรื่องของหัวใจ
มาถึงวันนี้เราไม่มีความห่วงใยและกังวลอีกต่อไป
เราสองต่างมั่นใจและเชื่อมั่นในกันและกัน และคำสัญญาใจที่เราให้แก่กัน
จะผูกพันเราไว้ในทุกภพชาติ

ห้าปีที่ห่างกัน ริญเธอก็ได้เคยเล่าให้เราฟังว่าสองสามปีหลัง
มีหลานชายห่างๆของคุณย่าเธอ ชื่อเอกอมร
เป็นนักเรียนนอก เพิ่งเรียนจบมา
ยังไม่ไม่ได้ประกอบกิจการงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เพราะมีนิสัยเย่อหยิ่ง ในความเป็นนักเรียนนอกของเขา
มักจะมองคนอื่นว่าด้อยกว่าตัวเองอยู่เสมอ
มาแอบชอบติดพันเธออยู่ซึ่งเธอก็เคยเอ่ยถึงความกังวลใจให้เราฟังหลายครั้ง
แต่ทุกครั้งที่เธอพูดถึงนายเอกอมร เราก็จะบอกให้เธอได้รู้ว่า
ใครก็ตามที่ได้เห็นริญ ไม่หลงรัก คนๆนั้นก็ผิดปกติทางใจแล้ว
ริญอย่าได้ใส่ใจ และเราก็มั่นใจในตัวเธอ
เพื่อให้เธอคลายใจ
แต่ดูเหมือนว่า เธอจะมีความกังวลใจทุกครั้งที่เจอผู้ชายคนนี้
ไม่ว่านิสัยใจคอ ปากไว ใจเร็ว และชอบเหยียดหยามผู้อื่นมันทำให้เธอไม่อยากเข้าใกล้

ซึ่งตัวเราเองไม่เคยได้เจอหน้านายเอกอมรซักครา 
และเรื่องภายในบ้านคุณย่าของเธอ
ถ้าริญไม่เล่า เราก็จะไม่ถาม 
เราจึงไม่รู้เรื่องราวภายในบ้านคุณย่าของเธอซักเท่าไหร่
และด้วยนิสัยของวริญญา
เธอก็ไม่ใช่คนที่จะนำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเธอมาเล่าต่อหน้าใครด้วย

เมื่อเราได้ตัดสินใจเรียนปริญญาโทต่อ
ก็ต้องหาเงินเพิ่มมากขึ้นเพราะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในการเรียน
เราจึงต้องรับสอนการบ้านตามบ้านมากขึ้นในเวลาเย็นถึงสามสี่ทุ่มในบางวัน
รวมถึงรับสอนวิธีใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ออฟฟิศพื้นฐานให้เด็กๆและผู้สนใจด้วย

วันหนึ่งเราถูกเรียกให้ไปสอนการบ้านเด็กอยู่ในซอยทองหล่อ ไม่ไกลจากที่พักนัก
เป็นบ้านของคนมีฐานะมีอันจะกินถึงขั้นมากเลยทีเดียว
เจ้าของบ้านชื่อคุณกิตติพงษ์ ทุกคนเรียกเขาว่าเฮียตี๋
แต่เราเรียกเขาว่าคุณกิตติพงษ์
เรามาสอนการบ้านลูกสาวเขาที่บ้านนี้หลายครั้งจนคุ้นเคยหน้า
ลูกสาวของเขากำลังเรียนอยู่ ป.6 กำลังจะเตรียมตัวเข้าสอบ ม.1
นี่จึงเป็นสิ่งที่เราถูกเรียกตัวเข้ามาสอน

วันหนึ่งหลังจากสอนเสร็จเรากำลังจะขอลากลับ
คุณกิตติพงษ์บอกว่า
คุณทิว คุณทำไมไม่หารถไว้ใช้ส่วนตัวซักคัน
จะได้สะดวกเวลาเดินทางไปสอน และมันจะทำให้คุณได้งานเพิ่มมากขึ้นด้วย
เพราะไปไกลๆได้

เราจึงตอบไปว่าผมคงไม่มีเงินไปซื้อรถยนต์ได้หรอกครับ คงแพงน่าดู
คุณกิตติพงษ์จูงมาเราเดินไปโรงจอดรถภายในบ้านเขา
และบอกว่า
ผมมีเปอร์โย 405 อยู่คันหนึ่งจอดไม่ได้ใช้มานาน 
นานๆทีจะนำไปวิ่งพอเครื่องได้ทำงานบ้างเท่านั้น
คุณสนใจไหมผมจะขายให้ถูกๆ
เราดูจากสภาพรถก็ยังใหม่อยู่เลย เป็นรถสีเทาเข้ม
ผมขายทิ้งให้คุณเลยแปดหมื่นเอาไหม
เราลังเลยังไม่ได้ตอบคำถามอะไร
คุณกิตติพงษ์ก็เสนออีกว่า งั้นเอาห้าหมื่นก็พอ
จอดไว้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ คุณขับออกไปเลยพรุ่งนี้มาสอนค่อยมาทำเรื่องโอนกัน
เพราะผมใช้อีกคนที่จอดอยู่ถัดไปโน่น

เราก็เห็นว่ามันไม่แพง อยู่ในวิสัยที่เราสามารถซื้อได้สบาย
จึงตอบตกลง
และคุณกิตติพงษ์ ยังชวนคุยอีกว่า
ผมมีคอนโดมือสองอยู่ห้องหนึ่งซึ่งผมเคยอยู่ตอนหนุ่มๆ
ตอนนี้ถูกปิดตายไม่ได้ใช้มานานแล้ว 24 ตารางเมตร
ผมจะขายให้คุณสองแสนเอาไหมค่อยผ่อนให้ผมก็ได้ไม่ต้องผ่านธนาคารอะไรทั้งนั้น

และคุณกิตติพงษ์ยังได้ยื่นข้อเสนอทางธุรกิจอีกว่า
ผมมีบริษัทจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์นะตอนนี้ กำลัง บูม
และผมมีตึกแถวอยู่หน้ารามคูหาหนึ่งสามชั้นครึ่ง
คุณสนใจไหม
ถ้าผมจะเปิดเป็นที่สอนหรืออบรมคอมพิวเตอร์ ประมาณนี้
ซึ่งผมจะให้คนนำเข้าไปติดตั้งให้ และบริหารจัดการทั้งหมดรวมค่าน้ำค่าไฟ
คุณทิวมีหน้าที่มาสอนมาดูแลคนที่จะมาเรียน
หกสิบสี่สิบเอาไหม

คุณกิตติพงษ์ยื่นข้อเสนอมาเป็นชุดๆจนเราตั้งตัวไม่ทัน
เรารับข้อเสนอแรกคือซื้อรถ
ข้อที่สองคือคอนโด เราขอไปดูก่อน
ข้อที่สามคือเปิดโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน
ซึ่งเราไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดเลย
เราจึงสนใจ และนั่งลงเจรจากัน
เราบอกกับคุณกิตติพงษ์ว่าคุณกิตติพงษ์ลงทุนทุกอย่างแต่รับแค่หกสิบ 
ผมรับไม่ไหวหรอกผมแค่มาสอนได้ตั้งสี่สิบ
ผมเสนอเจ็ดสิบห้า ยี่สิบห้าก็พอ
คุณกิตติพงษ์เงียบอยู่พักหนึ่ง
ก่อนเดินมาตบไหล่เรา
งั้นตกลงตามนี้
แต่รถเปอร์โยคันนี้ผมยกให้คุณเลยวันนี้ขับออกไปได้เลย
พรุ่งนี้นำเอกสารมาผมจะโอนให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ว่าแล้วคุณกิตติพงษ์ให้คนในบ้านเขาไปหยิบกุญแจมาให้กับเรา

เราขับรถออกจากบ้านคุณกิตติพงษ์
ทั้งประหลาดใจ ทั้งไม่เข้าใจว่า
วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับเรานะ
ชีวิตเราบทจะดิ่งมันก็ดิ่งจนตั้งตัวไม่ทัน
พอบทจะขึ้นมันก็พุ่งขึ้นจนเราตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน
ชีวิตเรา
มันเหมือนกับถูกจัดวางเตรียมการเอาไว้
มากรุงเทพครั้งแรก ก็ถูกพาไปนอกเส้นทางและต้องระเหเร่ร่อน
ไปตามแรงกรรมที่เรือตังเกที่ปัตตานี
เราคิดว่าจะไม่รอด แต่เรากลับไปเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงไปสู่เรือตังเกลำนั้น
พอกลับเข้ากรุงเทพอีกครั้ง เดินจนเหนื่อยล้ามานั่งอยู่ข้างถนนอโศกจนมาพบกับพี่พงษ์
และเป็นผู้พาเราเข้าสู่เส้นทางที่เราต้องการ
มาวันนี้ชีวิตเรามาได้คุณกิตติพงษ์ยื่นมือส่งมาช่วยดึงเราขึ้นไปอีก
แล้วอย่างนี้ไม่เรียกว่าชะตาจะเรียกว่าอะไร เราคิดอยู่คนเดียว





พอรุ่งขึ้นอีกวันเราก็นำเอกสารมาจัดแจงเรื่องรถกันจนเสร็จ
และให้คุณกิตติพงษ์พาไปดูคอนโด
เราเปิดประตูเข้าไปมีฝุ่นเขรอะเต็มไปหมดคงไม่ได้ใช้งานมานานจริงๆ
เราเดินสำรวจดู ห้องขนาดนี้
ก็พอเหมาะสำหรับชีวิตคนโสด
หรือกับคู่รักใช้เป็นห้องหอเล็กๆก็คงมีความสุขไม่น้อย
ข้าวของทุกอย่างในห้องก็สภาพปกติดี
ไม่ว่าเครื่องสุขภัณฑ์ต่างๆยังสภาพดี
เราแค่มาล้างทำความสะอาด และซื้อข้าวของเครื่องใช้
เข้ามาตกแต่งอีกหน่อยก็เกินพอแล้วสำหรับเรา

เราตัดสินใจซื้อคอนโดนี้จากคุณกิตติพงษ์
ด้วยเงินสดราคาสองแสนบาท
จากนั้นเราไปดูโรงเรียนที่กำลังเตรียมตัวตกแต่งทาสีใหม่และมีการขนโต๊ะเก้าอี้
กระดานและเครื่องคอมพิวเตอร์นับสิบเครืองเข้าไปจัดวาง
ชั้นบนสุดเราทำเป็นห้องสำหรับสอนคอมพิวเตอร์
ชั้นสองใช้ทำเป็นห้องติวกวดวิชาทั่วไป
ชั้นล่าง ถูกนำโต๊ะมาตั้งตกแต่งเป็นเคาน์เตอร์
เพื่อให้พนักงานคอยรับโทรศัพท์ติดต่องานเป็นที่สมัครเรียนต่างๆมีเก้าอี้สำหรับนั่งพักรอ
และยังกั้นห้องกระจกเล็กๆเป็นที่สำหรับเรานั่งพักเตรียมตัวสำหรับเวลามาสอน
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเปิดสอนเต็มรูปแบบมีผู้สนใจมาเรียนคอมพิวเตอร์มากที่สุดจนเต็มห้อง
และเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่พอกับนักเรียน
เราจึงปรึกษากับคุณกิตติพงษ์ว่าควรแบ่งเป็นรอบๆไป
คือรอบเช้า รอบบ่าย รอบเย็น รอบค่ำ
ซึ่งแก้ปัญหาได้เป็นอย่างมาก
และกลับเป็นเรื่องที่ดีที่คนมีเวลาว่างช่วงไหนก็มาเรียนได้ในช่วงนั้น
กิจการนี้เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว
และคุณกิตติพงษ์ได้จ้างครูสอนคนอื่นสาขาอื่นเข้ามาเพิ่ม
ทำให้กลายเป็นโรงเรียนกวดวิชาที่มีหลากหลายศาสตร์มากขึ้น

เมื่อทุกอย่างลงตัวเราสามารถบริหารจัดการเวลาของตัวเองได้
เราก็ได้ย้ายของเข้าไปอยู่คอนโด ซึ่งเป็นบ้านหลังแรกในชีวิตเรา
เราดีใจมากที่มีวันนี้ได้ และต้องขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้เรามาถึงวันนี้

เราโทรนัดกับริญหวังแจ้งข่าวดีต่างๆเหล่านี้ให้เธอทราบ
เราก็นัดกันสถานที่เดิม
เราออกจากบ้านไปรอริญเช่นเคยไม่ได้ขับรถไปแต่อย่างใด
ยังคงไปรถเมล์อยู่อย่างที่เคยเป็น

สักครู่ริญก็มาถึง
เราเข้าไปนั่งคุยกันตามประสาหนุ่มสาวคนรักที่ข้างในสวนลุม

มีข่าวดีอะไรจะบอกริญจ้ะทิว วริญญาถาม
ริญจ้ะไม่กี่วันมานี้ ทิวถูกบุญหล่นทับจนตั้งตัวไม่ทันเลย เราบอกกับริญ
ริญยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับถามว่าบุญอะไรหล่นทับจ้ะทิวคงไม่ใช่ถูกหวยนะ
 เธอถามด้วยความสงสัย
มันก็ประมาณนั้นแหละริญ แล้วเราก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟังด้วยความยินดี

ริญขอแสดงความยินดีด้วยนะทิว
ดูสิชีวิตของทิววิ่งนำหน้าริญไปจนห่างแล้ว เธอเปรย

ไม่หรอกริญ 
ทิวจะไม่นำหน้าหรือตามหลังริญ เราจะเดินกอดคอเกี่ยวก้อย ประสานมือไปด้วยกันจ้ะ
รู้ไหมทิวมีวันนี้ก็เพราะริญคนเดียว เราปรารภกับเธอ

ริญไม่เกี่ยวเลยทิว ทิวคนเดียวต่างหาก เธอตอบ

ริญเกี่ยวสิจ้ะ
ริญคิดดูนะ ถ้าไม่มีริญ ทิวคงไม่มีความกระตือรือร้นอยากได้ใคร่ดี
ถึงวันนี้ ทิวเองก็คงเป็นเด็กส่งของหน้าร้านอยู่เช่นเคย

ทิวทำทุกอย่างในวันนี้ก็เพื่อริญคนเดียว
เพื่อตัวเองด้วย เพื่อตัวทิวเองจะได้อยู่กับริญ
ทิวจึงมีความมุ่งมั่น

ริญทำให้ทิวมีค่า
ทุกครั้งที่ทิวอยู่กับริญ ทิวรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมา
มันเกิดแรงฮึดสู้แรงบันดาลใจขึ้นมา
สำหรับทิวแล้ว ริญมีค่าที่สุด
ริญมีค่าและงดงามยิ่งกว่าเครื่องประดับหรือ อัญมณี ชิ้นใดทั้งปวงในโลกนี้
เมื่อได้อยู่กับริญทิวไม่ต้องแสวง หา อัญมณี ชิ้นใดมาประดับร่างกายหรือบารมีเลย
ริญมีค่าและงดงามกว่าพวกมันทั้งหลาย สำหรับความรู้สึกของทิว
ถ้าไม่มีริญแล้วทิวเองก็ไร้ค่า
ริญทำให้ทิวสูงค่าขึ้นมา
ริญทำให้ทิวเห็นค่าและความสามารถของตัวเอง

โอ๊ย !! มดขึ้นปากแล้ว คนเก่ง 
มานี่..มาเดี๋ยวริญเช็ดน้ำตาลออกจากปากให้ เธอพูดตัดบทขึ้นมา
แต่ทิวพูดจากใจจริงนะริญ เราย้ำ
จ้าๆทิว ริญรับทราบนะคะ 
อย่างนี้ริญก็ต้องวางตัวลำบากแย่เลยสิจ้ะ เธอบอก
ทำไมจ้ะริญ เราถาม
ก็ริญมีค่ามากมายขนาดนั้น คงหม่นคงหมองไม่ได้ล่ะสิจ้ะทิว
 เธอพูดพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ริญจ้ะ ..
ทิวอยากเข้าไปแนะนำตัวกับคุณย่าของริญบ้าง เราเสนอความต้องการ
ริญเงียบ ซักพัก ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
คุณย่าเป็นคนเจ้าระเบียบ เข้มงวด ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
แม้แต่ริญเอง อยู่กับคุณย่ามาร่วมห้าปียังไม่สนิทกับคุณย่าเลย
ยังพอคุยได้กับคุณปู่ แต่ตอนนี้คุณปู่เสียแล้ว
ริญเลยต้องคุยเล่นอยู่กับหลานสาวซึ่งเป็นลูกของน้องสาวคุณพ่อหรือก็คืออาของริญ
เธอมีลูกสาวกำลังเรียนอยู่ ป.6 ชื่อ ชื่อน้องหญิง 
ริญสนิทกับเด็กคนนี้แหละมากที่สุดทำให้ริญใช้ชีวิตข้ามคืนข้ามวันมาได้
 และก็พี่ขิง ที่เป็นแม่บ้านที่ทิวฝากจดหมายไว้กับเธอล่ะจ้ะ ริญบอก

แล้วทิวจะไม่มีทางได้เข้าไปรู้จักกับคุณย่าหรือจ้ะริญ เราถามเธอ
ถ้าทิวแน่ใจก็เอาสิจ้ะ  เดี๋ยวริญจะพาเข้าไปตอนเย็นนี้เลย

แต่ที่ริญกลัวที่สุดคือ พี่เอกอมรจ้ะทิว
เขาชอบมาบ้านคุณย่าช่วงเวลานี้
ถ้าเจอกันทิวต้องระวังนะจ้ะ อย่าไปมีเรื่องกับเขา 
ริญกลัวใจผู้ชายคนนี้มาก  
ริญพูดแสดงความห่วงใย

ตกลงจ้าริญงั้นเราไปกันเลย

ว่าแล้วเราสองคนก็เดินกลับออกจากสวนลุมเข้ามายังซอยหลังสวน
เราเดินคุยกันมาตลอดทาง ริญพยายามพูดถึงครอบครัวคุณย่าเธอให้เราฟัง
ครอบครัวคุณย่าอยู่กันแบบคนในเมืองจ้ะทิว ไม่ค่อยสุงสิงกันมากนัก
ส่วนอากับสามีเขาก็อาศัยอยู่เรือนเล็กอีกหลัง เขาก็อยู่ของเขาเช้าก็ไปทำงานเย็นก็กลับ
ส่วนเรือนเล็กอีกหลัง พี่ขิงก็จะอยู่จ้ะ
ส่วนริญอยู่บนเรือนใหญ่กับคุณย่า อยู่ห้องเก่าของคุณพ่อที่คุณพ่อเคยอยู่
นอกนั้นก็มีญาติพี่น้องคนอื่นๆนานๆจะแวะเข้ามาที
แต่ที่มาบ่อยที่สุดคือพี่เอกอมรนี่แหล่ะจ้าทิว

พอเราเดินคุยกันมาใกล้ถึงหน้าบ้านริญ
ก็มีรถขับเข้ามาจอดแอบชิดข้างทางข้างกับพวกเราสองคน




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น