ยินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับคนใจช้ำที่ถูกย่ำยีมาไม่ว่าคุณจะเป็นใครเราคือเพื่อนกัน

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไดอารีสีดำ12


ชีวิตในเรือ
เราเริ่มปรับสภาพได้
กินอาหารได้ ไม่เวียนศีรษะ ไม่อาเจียน
มีอยู่อย่างเดียวที่เรายังปรับไม่ได้ก็คือการเดินบนเรือ
เรายังเดินและก็ล้มหัวคะมำคว่ำหงายไปตามพื้นเรืออยู่เหมือนเดิม
จนกลายเป็นตัวตลกของเพื่อน
ประมาณครึ่งเดือนเราก็ยังไม่ได้เข้าฝั่ง
เรายังลอยเท้งเต้ง เคว้งคว้างอยู่กลางทะเลกว้าง
ในเวลานี้ทุกคนรู้จักทิวกันทั่วทั้งเรือ ทุกคนเรียกใช้เรียกหาทิวอยากเป็นกันเองไม่ขาดสาย
เราเริ่มเห็นสภาพความกดดันในทะเล

วันๆมีแต่น้ำกับฟ้า
ทุกวันเห็นแต่ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากน้ำและตกลงไปในน้ำ
เสื้อผ้าเราที่มีติดตัวมาอยู่แค่ กางเกงยีนสี่ตัว เสื้อยืดสามตัวเสื้อเชิ้ตแขนยาวสองตัวกับผ้าขาวม้าคู่ใจ
และผ้าเช็ดหน้าสีชมพูกับ ส.ค.ส.จากริญ คนรักของเรา
ยามเหงาเราก็ได้แต่หยิบ ส.ค.ส.เธอ ออกมาอ่านและใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เธอให้
ผูกไว้กับข้อมือตลอดเวลา

กางเกงยีนขายาวเริ่มเหม็นคาวปลาคละคลุ้ง และไม่สะดวกเอาซะเลยกับการทำงานบนเรือ
เราจึงตัดให้เป็นขาสั้น
ส่วนเสื้อก็ไม่ใส่เพราะจะทำให้เหม็นคาวปลาจึงพับเก็บไว้ในกระเป๋า
ถอดเสื้อตากแดดแช่น้ำเค็มๆของทะเลวันแล้ววันเล่า
จนเส้นผมบนศีรษะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดงเหนียวเกรอะกรัง
สีผิวหมองคล้ำ ดำจนเขียว

เราคิดอยู่ในใจว่ากลับเข้าฝั่งเมื่อไหร่เราจะต้องหนีกลับกรุงเทพให้ได้
ป่านนี้เธอคงเฝ้าคอยและเป็นห่วงเรา เธอคงอยากทราบข่าวคราวจากเราอยู่
คิดไปก็แสนหดหู่นักกับโชคชะตาของตัวเอง
ชีวิตบนเรือไม่มีห้องน้ำห้องส้วม
เวลาถ่ายทุกข์ก็จะใช้เชือกผูกเอวตนเองเอาไว้ด้านหนึ่ง
ส่วนปลายเชือกอีกด้านผูกไว้กับเรือ
แล้วก็ก้าวขาออกไปนั่งเกาะอยู่ตรงแคมเรือ
เวลาเรือโดนคลื่นเราก็จะตกจากเรือขณะถ่ายทุกข์ และก็สาวดึงเชือกที่ผูกเอวไว้เข้าหาเรือ
เป็นภาพที่เราพบเห็นอยู่จนชินตาในแต่ละวัน
และปัญหายาเสพติด เช่น กัญชา ฝิ่น เฮโรอีน
มีครบที่บนเรือตังเก
หลายครั้งที่เราถูกชวนให้ลอง แต่เราก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดมาโดยตลอด
เราจะเดินไปคุยกับคนนั้นคนนี้ ในแต่ละวันจนเป็นปกตินิสัยจนทุกคนคุ้นชินกับเรา

พี่หลายคนเวลามานั่งล้อมวงเสพกัญชากันก็ชอบที่จะให้เรา
มานั่งพูดนั่งเล่าอะไรก็ได้ให้ฟัง เพื่อความบันเทิงและเพลิดเพลิน
และดูเหมือนว่านี่จะกลายเป็นหน้าที่ของเราอย่างหนึ่งบนเรือไปเสียแล้ว
เมื่อพวกเขาล้อมวง
ชื่อทิวก็จะถูกเรียกออกมาให้พูดเรื่องจิปาถะให้ฟังอยู่ในทุกวัน

วันนี้ก็เช่นกัน
เวลาประมาณสองทุ่มพวกเราตีปลาเสร็จเก็บกู้อวนแล้วก็นั่งพัก รอยกต่อไประหว่างพัก
ทุกคนก็ออกมานั่งเรียงรายตามพื้นเรือ
ก่อนเราจะถูกเรียกออกไปทำหน้าที่นี้

เราเดินออกมาซักพักก็ล้มคว่ำลงกับพื้นเรืออีกเพราะเรือมันโคลง
เพื่อนหัวเราะกันใหญ่
เองยังไม่ชินอีกหรือวะทิว พี่เอกหัวหน้างานถาม
ยังเลยครับพี่ ผมฝืนเท่าไหร่มันก็ไม่อยู่ล้มทุกที เราตอบ

ก็เพราะเองฝืนไงเองถึงล้มทิว
การเดินบนเรือ มันต้องเดินแบบคนเมา
โยกไปโยกมาเอียงซ้ายเอียงขวาแอ่นหน้าแอ่นหลัง เองต้องทำอย่างนั้น
เองจะเดินเหมือนบนบกไม่ได้ พี่เอกให้คำแนะนำ

พวกพี่เดินบนเรือจนชิน พอขึ้นบก ก็ยังติดนิสัยลืมคิดว่าตัวเองอยู่บนเรือ
เดินโยกเยกโยกเยกเหมือนคนเมา
พวกเราเสียทุกอย่างที่อยู่บนบกไปแล้ว พี่เอกบอก
ว่าไงวันนี้จะเล่าอะไรให้เราฟังวะ ไต๋ที่นั่งอยู่ไกลออกไปร้องถาม
ผมไม่มีอะไรจะเล่าแล้วครับ เราตอบไต๋
เฮ้ย !! ได้ไงวะ เล่าอะไรก็ได้เล่ามา ไต๋สั่ง
ผมมีแต่คำถามที่อยู่ในใจที่อยากถามพี่ๆทุกคนแต่กลัวทุกคนจะโกรธ

เฮ้ย..ไม่มีใครโกรธเองหรอกวะทิว 
เวลานี้เองเป็นขวัญใจของเรือลำนี้ไปแล้ว เองถามมาเลย
ข้าอยู่ด้วยจะช่วยถามต่อให้ ไต๋ให้ความมั่นใจ

เราก็เริ่มต้นขึ้นว่า
สิ่งแรกที่ผมอยากรู้ก็คือ
ทำไมทุกคนจึงไม่คิดหรือพยายามที่จะหนีออกไปจากที่นี่
ทำไมทุกคนเอาชีวิตทั้งชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่
ทำไมทุกคนไม่กลับไปทำมาหากินที่บนฝั่งโน้น
ไปหาครอบครัว ไปอยู่กับครอบครัวหรือไปสร้างครอบครัวที่บนฝั่งโน้น

เราพูดเสร็จทุกคนเงียบ
สักครู่ไต๋ก็เอ่ยขึ้นมา
ว่าไงพวกเราใครจะตอบไอ้ทิวมันวะ บรรยากาศเงียบกันอยู่พักหนึ่ง
พี่เอกหัวหน้างานพูดขึ้นมาว่า

บนฝั่งโน้นเราไม่มีใคร ทุกคนตบมือ พร้อมพูดสนับสนุนพี่เอกว่า ใช่ๆ
เราก็ตัดบทขึ้นว่า

ทุกคนมีครอบครัว 
อย่างน้อยก็มีพ่อ มีแม่ มีพี่มีน้องอยู่ที่นั่น และมีความหวังมีอดีตมีอนาคตอยู่ที่นั่น
หรือแม้แต่อาจจะเคยมีคนรัก และเธอเหล่านั้นอาจกำลังรอพวกเราอยู่

เขาจะมารออะไรกับคนไม่มีอนาคตอย่างพวกเรา
เสียงพี่คนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา

นั่นเป็นเพราะพี่คิดไปเอง
พี่คิดไปเองว่า พี่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น
พี่คิดไปเองว่าไม่มีใครเขารอพี่อยู่ ทั้งๆที่พี่เองไม่เคยไปดู ไปถาม ให้เห็นกับตา
พี่คิดไปเองว่าเธอเหล่านั้นไม่รอ

พี่ลองคิดกลับกัน
ขณะนี้พวกเธอเหล่านั้นกำลังนั่งรอพวกพี่อยู่ รอข่าวสาร รอความเคลื่อนไหว
รอโดยที่ไม่รู้ว่าพี่อยู่ที่ไหน อยู่กับใคร เป็นหรือตาย ทั้งที่พวกเธอไม่มีความหวัง
แต่ก็ยังรออยู่จนตัวเองแก่เฒ่า

พี่ลองถามตัวเองสิว่าพี่ได้ปล่อยให้สาวน้อยคนหนึ่งหน้าตาสวยใส
เสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อรอความหวังจากพวกพี่
รอความหวังว่าจะได้แต่งานอยู่กินกับพวกพี่ 
รอสร้างครอบครัวกับพวกพี่อยู่กินฉันสามีภรรยา
แต่เขากลับไม่มีความหวัง เพราะพวกพี่ทอดทิ้งพวกเขา
เพราะพวกพี่ขี้ขลาดไม่กล้ายอมรับความจริง
เพราะพวกพี่ยอมจำนนกับโชคชะตา 
เอาชีวิตมาทิ้งอยู่ที่นี่ ทั้งที่มีคนรอพวกพี่อยู่บนฝั่งโน้น
พวกพี่คิดถึงหัวอกเธอบ้างไหม
ถามบ้างไหม
พวกเขารอทำไม
ทั้งที่ไม่มีหวัง
ความรักไง
ความรักทำให้พวกเธอรออยู่มาได้แม้ไม่มีหวัง
ความรักมันไม่มีเหตุผล
ความรักมันไม่ใหญ่เหมือนแผ่นฟ้า
ความรักมันไม่หนาเหมือนขุนเขา
หรือว่าเบาเหมือนปุยนุ่น

ความรักมันเป็นเพียงเส้นเล็กๆ
ที่แฝงตัวอยู่ในความรู้สึกของพวกเราทุกคน
ถ้าเราเติมความมั่นคงเข้าไป
เส้นเล็กๆนี้ก็จะมั่นคง
ถ้าเราเติมความเปราะบางเข้าไป เส้นเล็กๆนี้ก็พร้อมที่จะขาด
ถ้าเราไฟเข้าไป
เส้นเล็กๆนี้ก็พร้อมจะเผาผลาญไหม้ลามไปได้ทุกอย่างเหมือนกัน
มันจึงอยู่ที่เราว่าจะเติมความรู้สึกอะไรลงไป
ในสายใยเส้นเล็กๆที่ชื่อว่าความรักเส้นนี้

พี่ลองถามตัวเองว่าอยู่นี่มากี่ปีแล้ว
แล้วมีอะไรขึ้นมา
ออกจากฝั่งได้เงินสองร้อยกลับเข้าฝั่งได้เงินอีกสองร้อย
เราจะอยู่ได้ยังไง

ถ้าพี่ไปทำงานบนฝั่งอย่างแย่ที่สุดพี่ก็น่าจะได้ซักพันหนึ่งต่อเดือน
แต่นี่ได้สองร้อย และยังรอน้ำบ่อหน้าอีกว่า
หกเดือนเขาอาจแบ่งปันเงินให้ 
แล้วทำไมตรงนี้พวกพี่หวังได้ทั้งที่มันมองไม่เห็นเหมือนกัน

พี่ลองเดินขึ้นฝั่งเดินเข้าไปตลาด
ไม่แน่พี่อาจจะไปเดินชนหญิงสาวเข้าซักคนและเธออาจยิ้มให้พี่
เธออาจคุยกับพี่ เท่านี้ก็สร้างฝันให้เรามีชีวิตที่จะอยู่ได้แล้ว

ผมไม่รู้หรอกว่าพวกพี่จะคิดอะไร
แต่ถ้าเป็นผม
ผมจะไปจากที่นี่
ผมจะไปแสวงหาฝันและเดินตามทางหัวใจของผม
มันจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ผมไม่รู้
แต่อย่างน้อย ผมก็ได้เดินไป
อย่างน้อยผมก็ได้สู้
อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ยอมจำนนกับโชคชะตาของตัวเอง
เมื่อเราพูดมาถึงตรงนี้
ไต๋ก๋งซึ่งนอนเอนหลังฟังอยู่ ก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมพูดว่า
หยุดก่อนโว้ยไอ้ทิว ไต๋ ออกคำสั่งกับเรา
เมื่อเราหยุด
ไต๋ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัดท่ามกลางเสียงคลื่นเสียงลมที่ซัดกระทบเรือ

ฉันเห็นได้กับไอ้ทิว ไต๋พูดขึ้นมา
ในเรื่องที่ว่า เราทุกคนควรมีเงินเดือนของเราเอง
ไม่ใช่ไปหวังน้ำบ่อหน้าอย่างไอ้ทิวมันว่า

ฉันจะนำเรื่องนี้ไปคุยกับเจ้าของเรือให้เขาตั้งเงินเดือนให้พวกเรา
ให้มันสมน้ำสมเนื้อกับงานและหน้าที่ของเรา 
และจะเสนอขอให้เขายกเลิกเงินปันผลส่วนแบ่งทุกหกเดือนนั้นเสีย

เพื่อมาจ่ายเป็นเงินเดือนให้พวกเราแทน
ฉันมันโง่มาตั้งนาน ต้องขอบใจไอ้ทิวมันที่ทำให้ฉันคิดขึ้นมาได้
ต่อไปคนที่มาทำงานที่นี่ก็จะได้ไม่ต้องบังคับมาอีก
แต่ให้เขาสมัครใจมาเองโดยมีผลตอบแทนที่พวกเขารับได้
และฉันจะขอให้เขาซื้อวิทยุหรือโทรทัศน์มาติดไว้ประจำที่เรือเพื่อเป็นสิ่งคลายเครียดให้พวกเรา
และฉันขอประกาศอีกว่า
ต่อไปที่เรือลำนี้ทุกคนมีอิสระ
จะไม่มีการบังคับขืนใจขู่เข็ญกันอีกต่อไป
พอไต๋พูดถึงตรงนี้
ทุกคนปรบมือโห่ร้องด้วยความดีใจ

และเองไอ้ทิว
ที่นี่มันไม่เหมาะกับเองจริงๆ
เมื่อกลับเข้าฝั่ง
เองเป็นอิสระ และให้เองกลับไปตามหาฝันแกได้เลย
รวมถึงทุกคน 
เรายกมือไหว้ด้วยความดีใจ
และไอ้ทิวมันโตเกินวัยมันจริงๆไต๋กล่าวชมเรา
ไม่น่าเชื่อว่าท่าทางเงียบขรึมมัน
พอมันมาอยู่กับเรา มันกับมาสร้างความเปลี่ยนแปลงกับเรือของเรา
จากเดิมที่ทุกคนต่างคนต่างอยู่
ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลาทำงานก็ทำงาน
แล้วก็นอน เครียด ไม่มีงานก็ล้อมวงอัพยากัน
ชีวิตบนเรือมันเคร่งเครียดมาตลอดเวลา
ทุกคนไม่โอพาปราศรัยกัน
จนไอ้ทิวมันขึ้นมา
มันเดินไปคุยกับคนนั้นคนนี้จนทำให้พวกเราไม่เครียด
เราผ่อนคลาย เรามานั่งคุยกัน

เปิดฝาห้องเก็บปลา ไต๋ออกคำสั่ง
พี่คนหนึ่งลุกขึ้นไปเปิดทันที
เลือกปลาตัวที่ใหญ่ที่สุดอร่อยที่สุดออกมา
วันนี้เราจะกินเลี้ยงกลางทะเลกัน
ไต๋พูดจบทุกคนต่างรีบลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น
ส่วนเองไอ้ทิวทำหน้าที่ของเองต่อไป
ว่าแล้วไต๋ก็เอนหลังลงนอนรอฟังเราพูดต่อด้วยความตั้งใจ

เราก็พูดถึงอนาคตวันข้างหน้า
ความตั้งใจว่าจะดำเนินชีวิตไปในแนวทางใด
เมื่อพูดถึงเรื่องความฝัน
เรื่องของอนาคต
เราก็จะพูดย้ำตลอดว่า
เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปดังฝันเราหรือไม่
แต่อย่างน้อยเราก็ได้ทำตามฝันอย่างดีที่สุดแล้ว
แม้มันจะไม่สมหวังแต่เราก็ได้พิสูจน์ตัวเองก่อนที่จะยอมแพ้โดยที่ยังไม่ทำอะไรเลย
ซึ่งทำให้เราและทุกคนเกิดกำลังใจในอนาคตวันข้างหน้า

ขณะที่เรานั่งพูดทำหน้าที่ของเราไป
กลิ่นอาหารก็หอมโชยมาจากในครัว
พร้อมกับถูกจัดใส่หม้อจานยกลำเลียงออกมาจากครัวและวางตามพื้นเรือ
ตรงที่พวกเรานั่งล้อมวงกันอยู่
ไต๋สั่งให้เราหยุดและให้ทุกคนกินข้าวปลากัน
พวกเราทั้ง 32 คนนั่งล้อมวงเป็นแถวยาวตามแนวพื้นเรือด้านข้างซ้าย
และมันเป็นภาพที่เราเพิ่งเห็นมันเกิดขึ้นตั้งแต่เราลงเรือมา
เราดีใจและมีความสุขที่จะได้เป็นอิสระ
รวมถึงทุกคนมีความกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันตาเห็นเมื่อไต๋บอกว่า
จะกลับไปเจรจากับเจ้าของเรือเรื่องเงินเดือน
ดูเหมือนว่าทุกคนจะเร่งวันเร่งคืนเพื่อให้ถึงวันจะได้เข้าฝั่ง
แต่เราจะเข้าฝั่งได้ปลาต้องเต็มลำเรือ

ขณะนั่งรับประทานอาหารกันอยู่
ไต๋ก็พูดขึ้นอีกว่า
เที่ยวนี้เราโชคไม่ดี
ที่ปลาไม่ชุม ปลากระจัดกระจาย
จับได้ทีละน้อย
ทำให้เราเสียเวลาวางอวนหลายครั้ง
แทนที่จะเร่งจับได้ทีละมากๆไม่กี่ครั้งก็เต็ม

ฉันตัดสินใจแล้วว่าเราจะแอบเข้าไปจับปลาในน่านน้ำของเพื่อนบ้าน
ขอให้ทุกคนเตรียมตัว และทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว
ที่นั่นปลาเยอะแน่
แต่เราต้องรีบ
เพราะถ้าถูกจับได้ เรื่องมันก็ยาวเหมือนกัน ทุกคนว่าไง ไต๋ร้องถาม
เอาไงก็เอาครับแล้วแต่ไต๋ สั่งมาเลย
พวกเราพร้อมลุยเต็มที่เสียงโต้ตอบกลับมา
เมื่อตกลงกันแล้ว
พวกเราช่วยกันเก็บสำรับจนเรียบร้อย
แล้วไต๋ก็สั่งให้พี่คนขับเรือ เบือนหัวเรือมุ่งเข้าสู่น่านน้ำต่างชาติทันที

เพราะเรือลาดตระเวนมันแล่นเร็วกว่าเรือเราที่นี่เป็นน่านน้ำสากล ไต๋ประกาศให้ทุกคนรู้
เมื่อเราวิ่งเข้าน่านน้ำสากลและพ้นเขตน่านน้ำสากลก็จะเป็นฝั่งน้ำของเพื่อนบ้าน
ด้านหลังก็คือฝั่งไทยเราเรือเร่งเครื่องมุ่งหน้าด้วยความเร็วเต็มที่
ไม่นานเราก็มองเห็นทุ่นลอยมีธงมีสีแต้มเรียงรายอยู่เป็นจุดกลางทะเลกว้าง

มีน่านน้ำสากลกั้นอยู่ตรงกลาง
ทุกคนจำไว้ว่าน่านน้ำสากลเรายังปลอดภัยอยู่
แต่ทันทีที่เราเข้าน่านน้ำต่างชาติเราอาจถูกจับทุกเวลา
ดังนั้นจึงต้องแบ่งหน้าที่กันทำ
ให้สองคนขึ้นไปบนหลังคาเก๋งเรือเพื่อสังเกตการณ์เรือตรวจการจากทหารเรือต่างชาติ
เราจะไม่ใช้เวลามาก
ทันทีที่เราเข้าน่านน้ำเขาเราจะปล่อยอวนทันที
ให้ขึงอวนเตรียมไว้
และถ้าเห็นเรือลาดตระเวนให้ไอ้สองคนนั้นร้องบอกทันที
ถ้าเราเริ่มเห็นเสากระโดงชัดเจนนั่นคือระยะอันตราย

ให้เราตัดสินใจตัดอวนทิ้งทันทีแล้วให้หันหัวเรือกลับ
ทางน่านน้ำสากลและเข้าไทยให้ทัน  เร่งเต็มเครื่อง
เข้าใจไหม ไต๋สั่งงานและร้องถาม
เมื่อเราวางแผนกันแล้วทุกคนถูกจัดเข้าประจำหน้าที่ใหม่
คนปล่อยอวน คนคลุมทิศทางลม
คนที่ทำหน้าที่ลงเรือโล้เพื่อออกตีน้ำไล่ปลาเข้าอวน หรือเราเรียกว่าคนตีปลา
และงานนี้ไต๋ยังสั่งให้อีก 4 คนถือมีดติดตัวไว้ 
เมื่อได้รับสัญญาณจากข้างบนให้ตัดอวนทิ้งทันทีตามแผน

เรือโล้มีอยู่สองลำ ถูกปล่อยออกจากเรือแม่โดยมีเชือกผูกที่เรือโล้ ด้านหนึ่ง
ปลายอีกด้านหนึ่งผูกติดกับเรือแม่
แต่ละลำมีสองคนประจำเรือ คนหนึ่งคอยถือไม้ไผ่เพื่อตีน้ำไล่ปลาให้เข้าอวน
ส่วนอีกคนคอยพยุงประคองเรือไม่ให้จม
เรือตีปลาลำหนึ่งถูกปล่อยออกฝั่งซ้าย
มีสองคนถือไม้ไผ่ลงเรือไป
ส่วนอีกลำถูกปล่อยออกฝั่งขวา
พี่เอกยืนถือไม้ไผ่สองลำ
พร้อมร้องเรียกเรา
ทิวโว้ยลงเรือกับพี่
เราก้าวลงเรือโล้กับพี่เอก 
ทันทีที่เรือเคลื่อนตัวตามแรงคลื่นเราทั้งสองใช้มือยกลำไม้ไผ่ตีฟาดลงกับน้ำแรงๆ
จนเรือลอยห่างออกจากเรือแม่กว่า200 เมตร เราตีปลาไปตามแนววางอวนด้านหน้าอวน
เมื่อจรดขอบอวนก็ส่งสัญญาณให้เรือแม่ด้วยการส่องไฟฉาย
ด้านบนดึงอวนลากกลับเข้าเรือเพื่อกู้อวน
ขณะดึงอวนกลับพวกเราก็ยังไล่ตีปลาประคองไปเรื่อยๆจนกลับเข้ามาใกล้เรือ
และบนเรือยกอวนขึ้น
เราได้ปลามากจริงๆ
ทุกคนดีใจ ไต๋สั่งย้ายจุดไปอีกหน่อย
ปล่อยอวนอีก
เราทำอยู่อย่างนี้สีห้ารอบจนได้ปลาเต็มเรือ
และปล่อยอวนอีกครั้งกะจะเป็นครั้งสุดท้าย

ขณะที่เรากำลังออกตีปลาหน้าอวนอยู่นั้น ก็เห็นแสงไฟจากเรืออีกลำส่องจ้าเข้ามา
มันเป็นเรือตรวจการทะเลของทหารต่างชาติ
พี่เอกสั่งให้เราฉายไฟเป็นสัญญาณไปเรือแม่
ด้านบนเร่งดึงอวนกลับ
พี่เอกสั่งเราให้สาวเชือกที่ผูกอยู่กับเรือเพื่อเร่งกลับเข้าเรือแม่
ด้านบนส่องไฟฉายกลับลงมา
นั่นมันสัญญาณให้กลับด่วนและให้ตัดอวน
อวนถูกตัดทิ้งจากเรือเพื่อไม่ให้เรือหนัก
เรือกลับลำหันหัวตรงเข้าทางฝั่งไทยมุ่งสู่น่านน้ำสากลให้ทัน
ขณะที่พวกเราที่ทำหน้าที่อยู่ในเรือโล้ยังกลับไม่ถึงเรือทั้งสองลำ
เมื่อเรือแม่ลากเราอย่างแรงเรือของเรากับพี่เอกจึงจมน้ำ
พี่เอกสั่งให้เราม้วนตัวให้ใช้เชือกพันเอวเอาไว้จะได้ไม่หลุด
เราจับเชือกมานาบเอวและดึงม้วนมาพันตัวตามที่พี่เอกสั่งและมัดเชือกเอาไว้
ส่วนพี่เอกก็ทำเช่นเดียวกันช่วงเชือกที่ต่อจากเราออกไป
พี่เอกอยู่หน้าเราอยู่หลังเชือก
ขณะที่เรือโล้จมลงน้ำและดึงพวกราให้จมลงไปด้วยพี่เอกสั่งให้เราว่ายน้ำเข้ามาเกาะเชือกที่ด้านหน้าเราช่วยกันสาวเชือกกลับเข้าหาเรือ
ขณะที่คนบนเรือก็ดึงพวกเราลากเข้าไปด้วยเช่นกันพร้อมกับเรือแม่ที่กำลัง
เร่งเครื่องเต็มที่เพื่อหนีเข้าน่านน้ำสากลให้ทัน
ไม่นานพวกเราถูกดึงขึ้นเรือทั้งสองคน
และเรือโล้อีกลำก็เช่นกัน
เราเดินเครื่องเรากันเต็มที่หนีเข้าเขตน้ำสากลมาได้
ขณะที่เรือลาดตระเวนก็จอดหยุดอยู่ด้านนอก
เป็นอันว่าเรารอด
ยินดีด้วยไอ้ทิวแกยังรอด ไต๋พูดและเดินมาตบหลังไหล่เรา
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้พวกเองถูกตัดเชือกเพื่อทิ้งลงทะเลเป็นเหยื่อไอ้หลามไปแล้ว
เราไม่ลากเข้ามาหรอกวะทำให้เรือหนักและถูกจับ ไต๋บอกเรา
เราหันไปมองหน้าพี่เอก
พี่เอกพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า
ใช่แล้วทิว
คนที่ลงเรือโล้ทุกคนต้องรู้ชะตาตัวเองตรงนี้
ถ้าดึงได้เขาจะดึงแต่ดึงไม่ทันเขาก็จะตัดเชือกทิ้งเราเป็นเหยื่อไอ้หลามมันจริงๆ
เรือเราก็ทำอย่างนี้มาหลายครั้ง พี่เอกบอก
แต่ต่อไปนี้จะไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นอีกแล้วฉันรับรอง
 ไต๋พูดแทรกและยืนยันด้วยคำพูดที่หนักแน่น
เราจะไม่ทิ้งกันอีกต่อไป
บนเรือมันเครียดมามากพอแล้ว
ต่อไปเราจะอยู่กันแบบพี่น้อง
ไต๋พูดสำทับอย่างหนักแน่น
เมื่อเข้าเขตไทย
ไต๋สั่งทำอาหารและมุ่งหน้าเข้าฝั่งทันที
ทุกคนเริ่มผ่อนคลายรวมทั้งเราด้วย
เมื่อเรือมุ่งหน้าเข้าฝั่งเสียงครกเสียงสากก็เริ่มดังขึ้น
ว่าแล้วเราก็ลุกไปเข้าครัวกับพี่หวิลต่อไป


เมื่อเรารับประทานอาหารกันเสร็จสรรพ
พวกเราก็ไม่มีงานอะไรแล้ว
ปลาก็ได้เต็มเรือ
ส่วนอวนก็ถูกตัดทิ้งไปแล้ว
เวลานี้จึงเป็นเวลาที่ทุกคนพักผ่อนนอนเล่นกันตามสบาย
รอเวลาเรือเข้าถึงฝั่งอย่างเดียว
เรานอนหลับแล้วก็ตื่นๆอยู่สองคืนสองวันเรือยังเข้าไม่ถึงฝั่ง
มองไปรอบๆข้างก็ไม่มีอะไรมีแต่น้ำทะเลกับเสียงเรือ
และฝูงปลาโลมาที่คอยกระโดดน้ำโชว์ตัวอยู่ไกลออกไป
ไม่มีสีเขียวของต้นไม้
ไม่มีร่องรอยของแผ่นดินเราไม่เห็นสิ่งเหล่านี้มาเดือนกับสองวันแล้ว
มันเป็นช่วงเวลาที่เราแย่ที่สุดในชีวิต
เพราะเราไม่รู้อะไรเลยในทะเลนี้
เราไม่รู้ว่าเรากำลังอยู่ตรงไหน
เราไม่รู้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปไหน
ที่กลางทะเลลึก
มันไม่มีแม้นกซักตัวจะโบยบินมาให้เห็น
เป็นเวลาเดือนเศษที่เราออกมาเผชิญโชคชะตาอยู่กับเรือตังเกกลางทะเลกว้าง
ไม่เคยได้อาบน้ำจืดเลยสักครั้ง
อย่างเก่งก็แค่ล้างหน้าแปรงฟัน
ใช้ผ้าชุบเช็ดตัวเหมือนกับเช็ดไข้
ส่วนผมเผ้านั้นไม่ต้องพูดถึง
เส้นผมของเราจากที่เคยดกดำสลวย
เวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะฤทธิ์ความเค็มของเกลือทะเลและแดดเผา
มันแตกปลายเหนียวเหนอะหนะ ไม่เคยโดนแชมพูสระผมเลยตลอดเดือนเศษ
วันๆเปียกแช่อยู่กับน้ำทะเลที่เค็มๆและตากแห้งด้วยแสงแดดที่สาดลงมาจากท้องฟ้า
มาสู่ตัวเราโดยตรงโดยไม่มีแม้เงาของต้นไม้หรือแนวป่าจะมาบดบังแสงให้
สภาพของเราเวลานี้
ไม่เหลือร่องรอยของทิวคนเก่าอยู่เลย
ใส่กางเกงขาสั้นจากยีนที่ตัดขาที่แข็งเขรอะไปด้วยเกล็ดปลาคราบคาวปลา
เหม็นคาวเป็นยิ่งนัก
ส่วนเสื้อก็ไม่ได้ใส่ห่อปกปิดร่างกายเลยเพราะกลัวเสื้อเหม็นคาว
ต้องถอดเสื้อตากแดดแช่เค็มตัวเองอยู่กับทะเลมาแรมเดือน
ผิวกายที่เคยใสกลับเปลี่ยนเป็นสีดำหยาบกระด้าง
เต็มไปด้วยคราบเกลือที่เกาะเกล็ดอยู่

ดูเหมือนว่าถ้าลองชิมเนื้อของตัวเองเวลานี้คงไม่ต่างอะไรกับเนื้อเค็ม
หรือไม่ก็ปลาเค็มดีๆนี่เอง

คิดไปคิดมา
หัวใจเรามันก็อดไม่ได้หรอกที่หวนให้คิดถึงวริญญา
ภาพและความทรงจำเก่าๆมันลอยวนเวียนอยู่ในความทรงจำไม่เคยลบเลือนหายไปแม้สักวินาที
ไม่ว่าคืนวันจะผ่านผันไปอย่างไร น้ำเสียใสอ่อนหวานของเธอยังคงชโลมใจเรา
แม้เวลาผ่านไปแต่ก้นบึ้งของหัวใจ ยังเฝ้าร้องเรียกหาแต่เธอวริญญา

ป่านนี้เธอคงเฝ้าแต่รอคอยว่าเราจะส่งข่าวไปหา
ตามสัญญาที่เราพูดจาไว้กับเธอว่าสิ้นเดือนจะลาออกจากงานที่ขอนแก่นมาหาเธอ
นี่มันเลยเวลามาได้เดือนเศษแล้ว เธอยังไม่เห็นแม้เงาของเรา
หรือแม้เพียงข่าวจากเรา
ริญจ๋า
เธอจะรู้ไหมว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
ทิวถูกชะตากรรมซัดพาให้ไปตกอยู่กลางทะเลกว้าง
โดยเกือบจะไม่ได้กลับเข้าฝั่งอีกแล้ว
ทิวหวังว่าริญคงเข้าใจและให้อภัยทิว
ด้วยเหตุปัจจัยที่มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
จนทิวเองก็ไม่สามารถควบคุมมันได้

แต่ขอให้ริญ เชื่อเถิดว่า
ภายในหัวใจทิว
มีริญอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
ไม่นานแน่ริญ รอทิวอีกหน่อย
เมื่อทิวถึงฝั่งทิวจะกลับไปหาริญอีกครั้งให้ได้

ขณะที่เรานั่งคิดรำพึงรำพันอยู่นั้น
ก็มีเสียงเรียกเรา

ทิวๆๆทิวโว้ย
เราหันไป พี่เอก
พี่เอกนั่งกวักมือเรียกในมือถือปีนฉมวกนั่งเล็งอะไรอยู่
เราลุกเดินไป

ทิวคอยดูนะเดี๋ยวพี่จะยิงไอ้หลามให้ดู พี่เอกบอกพร้อมชี้นิ้วออกทางทะเลให้เรามองดู
ไหนครับพี่ ฉลาม เราถาม
พี่เอกก็ชี้นิ้วให้ดู พร้อมบอกว่าโน้นตรงสันคลื่นที่เห็นไหว ๆมองเห็นยัง
เรามองดูตามน้ำก็ไม่เห็นมีอะไรเห็นมีแต่คลื่น
จึงตอบพี่เอกไปว่า เห็นมีแต่คลื่นครับพี่ ไม่เห็นฉลามเลย

พี่เอกจับแขนเราเข้าไปใกล้
นี่ทิวเองดูนะ แกต้องมองที่กระโดงหลังมันที่โผล่พ้นน้ำ แกถึงจะเห็น
อย่าไปมองระดับเดียวกับน้ำ
เราพยายามสังเกตดูตามพี่เอกบอก
ก็เป็นความจริงเราเริ่มเห็นแผงกระโดงหลังของฝูงปลาฉลามอยู่ประมาณ 3-4 ตัวเห็นจะได้

เห็นแล้วครับพี่เอกผมเห็นแล้ว ดูว่ามันจะมีซัก 4 ตัวเราร้องบอกพี่เอก
จับตาดูมันไว้ทิว
รอให้มันเข้ามาใกล้เรือเราก่อน ให้อยู่ในระยะยิงได้ก่อน
พี่จะยิงมัน พี่เอกบอก
พี่จะยิงมันทำไมละครับ
เราถามด้วยความสงสัย
ตัดเอาหูมันไง พี่เอกตอบ
เองรู้ไหมตัวหนึ่งขายได้หลายเงินอยู่นะทิว พี่เอกบอก
พอเรือเข้าไปใกล้ฝูงฉลาม เสียงยิงปืนฉมวกดังขึ้น
ที่ลูกฉมวกจะมีเชือกผูกไว้ที่ปลายด้านหนึ่งเมื่อยิงโดนก็จะสาวเชือกลับเข้ามาหาเรือ
 โดนแล้วทิว พี่เอกร้องเรียกเรา พร้อมบอกให้เรามาดึงเชือกลากฉลามเข้ามา
พวกเราลุกมารวมตัวกันอีกหลายคนช่วยกันดึงฉลามเข้ามาและยกขึ้นเรือ
เป็นฉลามตัวใหญ่ เลือดแดงฉานเต็มเรือ

พี่เอกบอกตัดเอาหูมันออกมาเร็วจะได้โยนมันลงไปเป็นเหยื่อล่อพวกมันอีกทีก่อนมันจะหนี
เราก็นั่งพิจารณาอยู่นานก็ไม่เห็นมันจะมีหู
จึงร้องบอกพี่เอกว่า
หูฉลามมันอยู่ตรงไหนนะพี่ผมหาไม่เจอ
พี่เอกหัวเราะลั่น
เองนี่มันซื่อจริงๆเลยวะไอ้ทิว
พร้อมกับเดินเข้ามา
หูฉลามมันไม่มีหรอกโว้ย
แต่ที่เขาเรียกหูมันก็คือ คีบ คือกระโดงหลัง และหางมันด้วยตัดมาให้หมด
นั่นแหละเขาเรียกรวมกันว่าหูฉลาม
เราก็ใช้มีดฟันฉับเข้าให้พร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆก็ช่วยกันจับกันทำ
จนฉลามเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน
เพื่อนๆพี่ช่วยกันยกตัวฉลามที่ไม่มีคีบ หาง และกระโดงหลัง โยนลงทะเลอีกครั้ง
เลือดสีแดงของฉลามยังคาวคละคลุ้งอบอวน
ถูกโยนลงทะเลจนทำให้น้ำบริเวณนั้นแดงไปด้วยเลือดฉลาม

ไม่นานฝูงฉลามก็กรูกันเข้ามากัดกินพวกเดียวกันเอง
พี่เอกยิงฉมวกเข้าใส่อีก
พร้อมพี่คนอื่นก็ช่วยกันยิงและลากฉลามขึ้นเรือ
ตัด คีบ ตัดหาง ตัดกระโดง อีกจนหมด
แล้วพวกเขาก็โยนตัวฉลามทิ้งลงทะเลไป
ส่วนคีบหางทั้งหลาย พวกเขานำไปล้างน้ำ
ก่อนที่จะนำไปมัดใส่เชือกขึงตากแดดไว้กลางเรือ

เราเพิ่งจะเห็นภาพอันสุดสยองนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
และก็เพิ่งจะรู้ว่าไอ้ที่เขาเรียกหูฉลาม ที่แท้มันก็คือ
คีบ หาง และแผงกระโดงหลังมันนั่นเอง

เขาจะเอาไปทำอะไรครับพี่เราถามพี่เอกด้วยความอยากรู้
เขาก็จะเอาไปขายให้ภัตตาคารใหญ่ในเมืองให้พวกเศรษฐีเขากินกัน พี่เอกบอก
แล้วทำไมตัวมันเขาไม่เอาครับ เราถามอีกด้วยความสงสัย
เนื้อมันคาวไม่อร่อย เขาไม่นิยมกัน พี่เอกตอบ
แล้วคีบมันอร่อยไหมครับพี่ เราถาม
ถ้าเองเคยกินปลาสวายมันก็ไม่ต่างกันหรอกว้าทิว
ต่างตรงที่ราคามันแพงกว่า มีเครื่องปรุงอะไรเติมเข้าไปเท่านั้นเอง
เองอยากกินไหมล่ะ เอาไปให้พี่หวิลทำให้กิน ทำสดๆมันคาวหน่อยนะ
ยังไม่แห้ง  ว่าแล้ว พี่เอกก็หยิบคีบมาคีบหนึ่งส่งให้เรา
แล้วเราก็นำเข้าครัวให้พี่หวิลสอนให้ทำ

เมื่อทำเสร็จสรรพเราใส่ถ้วยยกออกมาหาพี่เอก เรียกพี่เอกมากินรวมถึงคนอื่นด้วย
พี่เอกบอกคนที่นี่เขาเบื่อหูฉลามกันที่สุดเลยทิว เหลือแต่พวกเองที่มาใหม่เท่านั้นแหละที่ไม่เคยกิน
เรียกเพื่อนมากินกันไป พี่เอกบอก

พี่คนอื่นก็นั่งดูนั่งลุ้นอยู่
เราเรียกเพื่อน 8 คนที่ไปด้วยกันมากินหูฉลามกัน
เราตักใส่ปาก รสชาติมันเหนียวข้น หนังมันหนืดๆกลิ่นมันคาวเอาเรื่องอยู่อย่างพี่เอกว่า
แต่รสชาติของมันก็ไม่ต่างจากปลาสวายเท่าไหร่อย่างพี่เอกบอก
 เพียงแต่เครื่องแกงมันเข้มข้นกว่าเท่านั้น

เรานั่งกินหูฉลามกันไปไม่นาน เราเริ่มมองเห็นฝูงนกนางนวล บินวนอยู่ฝูงใหญ่
เราแปลกใจมากเพราะเราไม่เคยเห็นฝูงนกหรือนกอะไรซักตัวมาเดือนกับสามวันแล้ว
เรามองไปไกล เห็นเงาทะมึนของภูเขาลางๆอยู่ไกลๆ
ถึงฝั่งแล้วเราร้องบอกพี่เอก ด้วยความดีใจ
พี่เอกบอกยังหรอกทิว ยังอีกหลายชั่วโมง
ภูเขาที่เองเห็นลิบๆอย่างน้อยเราก็แล่นเรืออีก6ชั่วโมงโน้นแหละกว่าจะถึง


เมื่อได้ยินพี่เอกบอกว่าอย่างน้อยก็ใช้เวลาหกชั่วโมงจึงจะถึงฝั่ง
เราก็นั่งคิดไปเพลินๆและหาเรืองโน้นเรื่องนี้มาชวนพูดชวนคุยไปตามประสา
เพื่อสร้างบรรยากาศในเรือไม่ให้มันเงียบเหงาไปกว่านี้

เราจึงได้พูดดังๆขึ้นว่า
ผมมีกระดาษและปากกาอยู่ด้วย
ถ้าใครอยากเขียนจดหมายส่งข่าวถึงใครซักคนที่บนฝั่ง
ก็บอกผมได้เลยเดี๋ยวผมจะไปหยิบมาให้
และเมื่อผมกลับเข้าฝั่งไปถึงกรุงเทพผมจะนำจดหมายนั้นส่งให้ทุกคนอย่างไม่ขาดตก
แม้ฉบับเดียวผมขอรับรอง

เราพูดเสร็จก็ยังไม่มีใครสนองตอบ
ทิ้งเวลาอยู่พอสมควร
เสียงพี่เอกจึงพูดขึ้นว่า
เองจะอาสาเขียนให้ด้วยได้ไหมวะทิว
ได้เลยพี่เอก เดี๋ยวผมจะไปหยิบกระดาษปากกามา ว่าแล้วเราก็เดินไปในห้อง
หยิบกระเป๋ามาเปิดเพื่อหาสมุดและปากกาออกมา
เมื่อทุกอย่างพร้อม พี่เอกชวนเราไปนั่งหลบมุมห่างจากคนอื่นไปหน่อย
แล้วพี่เอกก็เผยความในใจที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่งออกมาให้เรานั่งจดลงบนกระดาษ
เราก็บรรจงจดตามที่พี่เอกพูดทุกถ้อยคำจนเต็มหน้ากระดาษ
แล้วพี่เอกก็บอกให้เราเขียนที่อยู่กำกับไว้เมื่อขึ้นฝั่งค่อยไปซื้อซองและลอกลงหน้าซอง

ต่อมาก็มีพี่ หวิล และพี่ๆอีกหลายคน
มาขอให้เรานั่งจดคำพูดที่พวกเขาอยากบอกและสื่อถึงคนบนฝั่งจนเราเมื่อยมือ
แต่ภายในใจเรากลับภูมิใจและดีใจ ที่ได้ปลุกจิตสำนึกของพวกเขากลับมาได้
หลังจากที่พวกเขาพยายามหนีความจริงและหลบซ่อนความจริงมาหลายปี
บัดนี้พวกเขากล้าพูดกล้าที่จะกล่าวคำขอโทษ ขออภัยจากคนบนฝั่งโน้น
แสดงว่าพวกเขาเริ่มมีฝันขึ้นมาใหม่กันแล้ว

และหลายคนก็ย้ำกับเราว่า
ไม่ว่าผลจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปก็ตาม
เขาจะไม่อยู่อย่างคนหมดหวังอีกแล้ว

หลายคนได้นำปลาหมึกตากแห้งที่พวกเขาเก็บตากเอาไว้บนเรือ
มามัดรวมกันคนละมัดสองมัด ใส่มือให้เรา
เพื่อให้นำไปส่งกลับไปพร้อมกับจดหมายถึงคนบนฝั่ง
ทั้งเป็นหญิงคนรักบ้าง
พ่อแม่บ้าง

บางคนไม่มีญาติที่ไหนเหลือแล้ว
ก็พยายามจะหาชื่อที่อยู่ของคนในหมู่บ้านที่พวกเขาเคยรู้จักกันมาเพื่อส่งข่าวคราวหากัน
พี่เอก และพี่หวิล เดินเข้าห้องไปหยิบเงินเป็นธนบัตรใบละร้อยคนละสิบใบ
มาใส่มือให้เรา
พร้อมสั่งว่านี่เป็นค่าซองจดหมายนะทิวและก็ค่าส่งปลา
ถ้ายังพอเหลือพี่ให้เองเก็บไว้ใช้
พี่ทั้งสองคนพูดเหมือนกัน
เรารับเงินและรวบรวมกระดาษจดหมายของแต่ละคนไว้รวมกัน
และมัดปลาหมึกแห้งต่างๆที่พวกเขาเตรียมส่งเป็นของฝากไว้เตรียมรอเมื่อเรือเข้าฝั่ง

พวกเราง่วนกันอยู่ไม่นานเราก็มองเห็นสีเขียวของใบไม้ชัดเจน 
มองเห็นแผ่นดินชัดเจนกับตาตัวเองอีกครั้ง
พวกเรายืนขึ้นรอเวลาไม่นานเรือวิ่งเข้าเทียบท่าสะพานปลา
พี่หลายคนวิ่งเข้าทำหน้าที่คอยโยนเชือกขึ้นฝั่งบ้างคอยโยนยางรถยนต์เก่า
ออกแขวนนอกตัวเรือบ้างเพื่อกันเรือกระแทกฝั่งเสียหาย
พวกเราช่วยกันเร่งมือทำงานอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่บนฝั่งมีพวกผู้หญิงมานั่งเรียงแถวยาวอยู่แล้วตามแนวรางส่งที่ต่อเชื่อมไปจากเรือ
เราช่วยกันเปิดฝาห้องเก็บปลา และใช้ที่ตักปลาขนาดใหญ่หย่อนลงไปในห้องเย็น
ตักปลาขึ้นมาจากท้องเรือเทใส่ตะกร้า
และไสไปตามเรือตามรางเป็นทอดๆส่งต่อกันไปประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เสร็จ
พี่เอกพาเราขึ้นไปสะพานปลาเพื่อหาน้ำจืดอาบ
เราก็เดินตามไปและเพื่อนพี่ๆอีกหลายคน เราไปซื้อสบู่ แชมพูสระผม
แล้วเดินไปเปิดก๊อกน้ำที่เขาทำไว้เป็นลานกลางแจ้งมีเพียงกำแพงปูนกันอายสูงเพียงแค่อกเท่านั้น
พวกเราอาบน้ำหัวเราะพูดคุยกันอย่างมีความสุข
แล้วก็เดินกลับมายังเรือ

เราดูนาฬิกา เวลาขณะนี้ก็ใกล้หกโมงเย็นแล้ว
เราไปจัดข้าวของเรียบร้อยสวมกางเกงยีน
เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวเก่าตัวเก่งพร้อมรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อที่ขณะนี้ดูเหมือนว่าจะทรุดโทรมตามกาลเวลา
เราเข้าไปลาไต๋ก๋ง ไต๋เข้ามาโอบกอดเราอย่างเอ็นดู
เราเข้าไปลาเพื่อนและพี่ทุกคนบนเรือ ก่อนจะเก็บสัมภาระก้าวขาขึ้นฝั่งทันที
เราหันไปโบกมือให้ทุกคนพร้อมเสียงสั่งลา

อย่ากลับมาที่นี่อีกนะไอ้ทิว เสียงไต๋ก๋งตระโกนตามหลังออกมา
เพื่อนมาหลายคนก็ร้องตระโกนออกมา ไม่นานหรอกทิวพวกเราจะตามแกไป
พี่เอกและพี่หวิลช่วยถือสัมภาระเดินออกมาจากสะพานปลา และเรียกรถสองแถวมาให้ไปส่งเราที่สถานีรถไฟโคกโพธิ์ เราก้าวขาขึ้นรถพร้อมกอดพี่เอกและพี่หวิลก่อนลาจากกัน

เราให้คนขับไปแวะที่ตลาดก่อน
คนขับพาแวะจอดที่ตลาด จะบังติกอ ปัตตานี
เราลงจากรถ เพื่อไปซื้อกล่องกระดาษมาซัก กล่อง
เพื่อเก็บปลาหมึกแห้งเหล่านี้ลงลัง จะได้ถือง่าย และไม่ส่งกลิ่นรบกวนคนอื่นด้วยเมื่อขึ้นรถ
เมื่อเราได้กล่องมาก็นำมัดปลาหมึกแห้งของแต่ละคนยัดลงในลังกระดาษใช้เชือกมัดอย่างแน่นหนา
และให้คนขับรถสองแถวพาตรงไปที่โคกโพธิ์
รถมุ่งตรงไปยังโคกโพธิ์ ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงเราเก็บสัมภาระลงจากรถ

จ่ายค่ารถให้คนขับสองแถว100บาท และก็เดินตรงไปยังห้องจำหน่ายตั๋ว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น