ยินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับคนใจช้ำที่ถูกย่ำยีมาไม่ว่าคุณจะเป็นใครเราคือเพื่อนกัน

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

บทกวีที่แสนเลี่ยน







คำขอจากใจฉัน


พี่ขอเธอ อยู่ใกล้ ข้างใจพี่


ขอเท่านี้ คนดี ให้ได้ไหม

จะตอบแทน ด้วยรัก ตลอดไป

จะดูแล ขวัญใจ ตราบสิ้นลม

พี่อยากได้ เธอมา เป็นคู่คิด

คอยชี้แนะ ถูกผิด เรื่องเหมาะสม

พี่อยากได้ เธอไว้ ชื่นเชยชม

พี่จะกอด เอวกลม ทุกค่ำคืน

พี่จะเติม ความรัก ใส่หัวใจ

ให้ทรามวัย สุขสันต์ สำราญชื่น

จะถนอม น้ำใจ แม่ขวัญยืน

ไม่ให้ใคร คนอื่น มาซ้ำเติม

จะไม่ให้ คนดี เสียน้ำตา

จะไม่พา ทุกข์ใจ มาพูนเพิ่ม

จะรักเธอ คนเดียว หัวใจเดิม

จะต่อเติม สานต่อ ก่อรักเรา

ยามค่ำคืน จะคอย จิ๊จ้ะจ๋า

พาขวัญตา ล่องลอย สู่สวรรค์

จะมอบรัก ให้นาง จนนิรันดร์

จะมีกัน และกัน ตลอดไป

แม้วันใด หัวใจ ได้แนบชิด

จะกอดเธอ ให้ติด ใจพี่ไว้

จะให้ใจ ของเรา คุยกันไป

พูดภาษา หัวใจ ที่ผ่านมา

จะไม่มี ตบตี ให้เจ็บช้ำ

จะไม่มี น้ำคำ ที่มุสา

จะรักเธอ คนเดียว ยอดชีวา

จะเป็นคู่ ขวัญตา ทุกชาติไป

อยากเล้าโลม โน้มดึง เธอมากอด

หอมซักฟอด สองฟอด ให้หวั่นไหว

อยากให้ร่าง ชิดร่าง ไม่ห่างไกล

อยากมีลูก ฝากไว้ แทนใจเรา

จะไม่ให้ เธอเหม็น ควันบุหรี่

จะไม่มี ใครด่า ผัวขี้เหล้า

จะออดอ้อน นอนตัก มิสร่างเซา

ให้เธอเมา ความสุข ทุกคืนวัน

..........................................




กลอนเลี่ยนจากใจฉัน







ขอเพียงเสี้ยวใจเธอ




เพียงเสี้ยวใจ ที่เธอ ได้แบ่งปัน

เพียงเท่านั้น ตัวฉัน ก็พอใจ

เพียงหางตา ที่เธอ ชำเลืองให้

ก็สุขใจ แม้เพียง เธอมองเมิน

พี่เคยคิด ปิดเมล์ ที่ตรงนี้

แล้วเดินหนี เพราะนาง นั้นห่างเหิร

ก็ทำใจ ลำบาก ยากเหลือเกิน

เพราะใจพี่ ไปเกิน จะกลับลำ

เมื่อรักเขา แล้วเขา ไม่มีใจ

มันเป็นเรื่อง น่าอาย เสียด้วยซ้ำ

อยากมุดดิน ดำหนี ไม่ต่อคำ

แต่ใจพี่ มันย้ำ ว่ารักเธอ

ใจบอกพี่ มีเวลา ทั้งชีวิต
ทนอีกนิด อีกหน่อย ไม่ได้เหรอ

อย่าสำออย เศร้าสร้อย อยู่เลยเธอ

ในเมื่อฉัน รักเธอ กลัวไปใย

จะสิบเดือน สิบปี ไม่มีสาย

ขอเพียงเธอ มีใจ แบ่งมาให้

หนึ่งนาที หนึ่งชั่วโมง ชั่งประไร

เธอมีใจ นาทีเดียว ก็เกินพอ

รอต่อไป หัวใจ ของพี่สั่ง

อย่าสิ้นหวัง อย่าท้อแท้ เฝ้างอนง้อ

คงซักวัน คงซักปี คงสมรอ

ได้เธอมา เคลียคลอ พนอกาย

จะจูบรัก พี่ลง ตรงสองแก้ม

จะเปิดแย้ม ประตูใจ เธอให้ได้

จะมั่นคง ในรัก ตลอดไป

แม้จะล่วง เลยวัย ก็จะรอ

ได้กุมมือ ของนาง สักหนึ่งครั้ง

แม้จะตาย ก็ชั่ง ไม่วอนง้อ

ได้หนุนตัก น้องนาง ให้สมรอ

ก็เกินพอ หัวใจ สั่งพี่มา







สิ่งที่เธอตอบแทนฉัน


นี่หรือสิ่งที่เธอตอบแทนฉัน

ฉันเรียงร้อย ถ้อยคำ มาขีดเขียน
เธอก็บอก ฉันเลี่ยน ทนไม่ไหว
ทั้งที่ฉัน นั้นกลั่น  มาจากใจ
เธอกลับไม่ เห็นใจ ฉันสื่อมา
เพราะฉันรัก ฉันจึง ยอมทุกสิ่ง
มอบหัวใจ รักจริง วางใส่หน้า
แต่เธอกลับ มองข้าม ย่ำอุรา
โพร่งออกมา ฉันไม่ สวาสเธอ
เธอไม่เหลือ เยื่อใย ให้ใจฉัน
เธอย่ำมัน จนฉัน ต้องนอนเพ้อ
ชั่งใจดำ เสียจริง หญิงอย่างเธอ
ปล่อยตัวฉัน มองเหม่อ เธอเฉียดกราย
ฉันรักจริง แต่เธอ กลับกลัวรัก
อาการเธอ คงหนัก  ไม่สมหมาย
ฉันรักเธอ เธอกลับ สับปรับใจ
ทั้งที่เธอ  อยากได้ คนรักจริง
เธอไม่กล้า ยอมรับ ความต้องการ
เธอหนีมัน หลอกว่า ใจเธอนิ่ง
ทั้งที่เธอ ก็รัก ฉันจริงจริง
แต่ประวิง ด้วยเพราะ เธอรวนเร
เธอจะกลัว อะไร กับคนรัก
ฉันใช่คน ร้อยหลัก รักมากเล่
ฉันไม่ใช่ รถไฟ หรือเรือเมล์
หรือลิเก ปลิ้นปล้อน กะล่อนทราม
ฉันต้องการ ดูแล หัวใจเธอ
ฉันเสนอ แต่เธอ กลับเหยียดหยาม
เธอไม่รัก ฉันไม่ ว่าคนงาม
แต่อย่าทำ เหมือนคน ไม่คุ้นเคย
ก่อนหน้านี้ ข้างกาย ยังมีฉัน
เธอต้องการ  สิ่งนั้น ฉันเฉลย
หามาให้ เพื่อเธอ แม่ทรามเชย
ไม่ละเลย สักน้อย เพื่ออ้อยใจ
สิ่งที่ได้ คือใจ ของฉันเจ็บ
จนอักเสบ เหลือทน เกินทนไหว
เธอตอบแทน ด้วยการ ย่ำหัวใจ
ฉันร้องไห้ แต่เธอ กลับรื่นรมย์



วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

คำฝากจากใจฉัน




คำกล่าวลาที่แสนเจ็บปวด
ก็คือคำกล่าวลาที่สิ้นเยื่อขาดใย
เหมือนกับเราไม่มีตัวตน ไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก
ไม่มีวันเวลา ในอดีต ไม่มีวันเวลาที่ดีที่ผ่านมา

นี่เป็นสิ่งเจ็บปวดที่สุดที่ชีวิตคนคนนึงได้พบเจอ
มันชั่งเหมือนกับการสาดขยะใส่หน้าเราทั้งที่ตัวเรายังนั่งอยู่
แต่เธอกลับทำเป็นว่ามองไม่เห็น เหมือนคนไม่มีหัวใจ
จึงไม่รู้ว่า การถูกย่ำหัวใจ การไม่ถนอมน้ำใจนั้นมันรุนแรงสักเพียงไหน
แต่สำหรับฉันคนอ่อนด้อยเรื่องความรัก คนที่ไม่เคยเข้มแข็งเลยกับเส้นทางนี้
มันรู้สึก โศก สลด หดหู่ ที่ถูกกระทำด้วยถ้อยคำรุนแรงอย่างนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็จะไม่โกรธ เกลียดเธอเลยคนดี
ในก้นบึ้งหัวใจฉันจะจดจำเธอไว้ตลอดไป
แม้หัวใจของฉันจะเจ็บปวดอย่างไรก็ตาม
จากนี้ต่อไป
ฉันจะยืนชะเง้อคอดูเส้นทางชีวิตของเธอ
ว่าจะรุ่งหรือจะล้มลง ว่าจะโชติช่วงหรือเดินเข้าสู่ทางตัน
ฉันจะคอยเหม่อมองดูอยู่ไกลๆ

วันใดที่ฉันเห็นเธอล้มลงบนเส้นทางชีวิตที่เธอเลือก
ฉันจะเข้าไปถามเธอว่า ยังไหวอยู่ไหมที่รัก
และจะยื่นมือไปฉุดดึงเธอให้ลุกขึ้นมาเดินต่อไป
ถ้าเธอยังมีแรงที่จะก้าวขา
ฉันก็จะถอยร่นออกมา
เพื่อให้เธอได้เดินต่อไป
กับคู่ชีวิตของเธอที่เธอเลือก

แต่ถ้าเธอไม่ไหวที่จะเดินต่อไป
หดหู่ ท้อแท้ ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว
ฉันคนนี้ก็จะเดินเข้า อุ้มเธอออกมาจากทางเส้นนั้น
ฉันจะไม่ทอดทิ้งเธอ ฉันยังพร้อมที่จะรอวันเดินไปกับเธอเสมอ

ฉันมั่นใจว่า
ฉันมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตท่ามกลางหุบเหวแห่งความเจ็บปวดมากกว่าเธอ
ฉันมั่นใจว่าเส้นทางชีวิตเส้นนี้ ฉันผ่านมันมาและช่ำชองกว่าเธอ
ฉันรู้ว่า เธอและคู่ของเธอจะสะดุดและหกล้มลงตรงช่วงใดของเส้นทาง
ฉันไม่ได้แช่งเธอ เพียงแต่ทางเส้นนี้ ฉันเองก็เคยเดินหลงเข้าไป ฉันจึงรู้ว่า อุปสรรค
 อันตราย ขวากหนาม ทางตัน มันอยู่ตรงจุดไหนของเส้นทาง
ฉันเดินหลุดรอดมันออกมาได้แล้ว
ห่วงอยู่ก็แต่เธอที่รัก ที่จะต้องพบเจอมัน
ฉันไม่อยากบอกหรอกว่ามันร้ายแรงแค่ไหน
เธอต้องพบเจอด้วยตัวเธอเอง

การเดินทางสายนี้มันยังไม่จบ มันยังเหลือระยะทางอีกยาวไกล
ที่เธอและคู่เธอจะเดินไป ในขณะที่ร่างกาย และวัยของเธอ ก็กำลังร่วงโรยเช่นกัน
แต่อุปสรรคอยู่ข้างหน้ามันยิ่งใหญ่ ต้องการคนที่มีพลัง รู้ทาง มานำทาง
ฉันคงได้แต่ฝากบอกเธอว่า ฉันยังรักเธอ
คำพูดนี้มันอาจไม่สำคัญในอารมณ์วันนี้ของเธอ
แต่ฉันอยากขอให้เธอจดจำคำพูดฉันไว้
เมื่อเธอเดินถึงทางตันแล้ว เธอจะรู้ว่า นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด
ต่อการเดินต่อไป หรือหยุดมัน

ให้เธอจำไว้ว่า
เมื่อใดที่เธอไม่ไหวแล้ว จงส่งเสียงร้องเรียกฉันได้ทุกเวลา
ฉันพร้อมและยินดีเสมอสำหรับเธอ

แต่วันนี้ฉันได้แต่ภาวนาว่าขอให้เธอและคู่เธอ ก้าวไปอย่างมั่นคง
และฟันฝ่าอุปสรรคน้อยใหญ่ไปให้ได้

เมื่อถึงปลายทางแล้ว เธอช่วยมองย้อนกลับไปข้างหลังดู
และถามใจตัวเธอดูว่า เราเดินมาทำไมเส้นทางนี้
เราเดินมาทำไมกับเส้นทางที่ว่างเปล่า
เราเดินมาทำไม และได้อะไรกับการที่มุ่งมั่นเดินทางมาในเส้นทางนี้
และอย่าลืมบอกเล่าประสบการณ์การเดินทางชีวิตเส้นนี้ของเธอ
บอกเล่าให้ไว้กับคนรุ่นต่อไปด้วยว่า เส้นทางนี้มันผิดหรือถูก จงยอมรับ
และสารภาพมันออกมาด้วยความจริง ในอีก สิบปี หรือยี่สิบปีข้างหน้า
ถึงวันนั้นถ้าฉันยังอยู่ ฉันจะย้อนมาอ่านดูคำสารภาพจากเธอ
ถ้าฉันไม่อยู่แล้ว ขอให้เธอ สลักคำเหล่านี้ไว้ท้ายงานเขียนของเธอว่า
ขอขอบคุณฉันที่ครั้งหนึ่งเคยที่จะพาเดินเดินออกไป




วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

สำนึกดีที่แลกมาด้วยความผิดพลาด



บางครั้งสำนึกดีมันก็มักจะเกิดตอนที่เรา
เสียท่าหรือหลังจากที่เราก้าวย่างที่ผิดพลาดไปแล้ว
หลายครั้งเสียงเรียกร้อง เสียงตักเตือนจากคนที่รักเรา
จากคนที่จริงใจหรือหวังดีกับเรา 
เราก็มักจะทำเมิน ทำเป็นหูทวนลม
ไม่สนใจคำเตือน คำร้องทักที่ดีเหล่านั้นเลย

ต่อเมื่อวันหนึ่ง เราสิ้นท่า หมดรูป ปีกหัก
หมดทางไป กระทั่งน้ำตาซึมเช็ดหัวเข่า
เราจึงได้รับรู้ว่า ใครจริงใครเท็จ

สำนึกที่ดีเป็นอย่างไร
ก็มารู้ตอนที่เสียอะไรไปตั้งมากมายแล้ว

ทั้งที่เราไม่ควรเสียอะไรเลย 
ถ้าเราเป็นคนที่มองคนรอบข้างเราซะหน่อย
การที่เรากำลังอยู่ในอารมณ์
อะไรซักอย่าง
บางครั้งมันทำให้เราหูหนวกตาบอด
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง

เราจะรู้ว่าเราเดินผิดทาง เดินหลงทาง ก็ต่อเมื่อเราเดินไปจนจะสุดทางเดินนั้นแล้ว
กว่าเราจะรู้ว่าใครมิตรแท้ มิตรเทียม
ก็ต่อเมื่อ ข้างกายเราไม่เหลือใครอยู่แล้ว
เราจะรู้ความหมายของชีวิตก็ต่อเมื่อ
เราใช้ชีวิตผิดพลาดจนไม่สามารถหวนย้อนกลับไปได้แล้ว
เราจะรู้ว่ารักแท้เป็นอย่างไรก็ต่อเมื่อคนที่ทำให้เรารู้
เดินหนีจากเราไปแล้วโดยที่เราไม่เคยชำเลืองสายตามองเขาเลย
เราจะรู้ความแตกต่างระหว่างรักกับใคร่เป็นอย่างไร
ก็ต่อเมื่อ เราเอาตัวเองเข้าไปเป็นเครื่องมือบำบัดความใคร่
ให้ใครต่อใครจนไม่เหลือดีแล้ว

ทำไม
ทำไมกว่าจะได้สามัญสำนึกที่ดีกลับมา
จึงต้องแลกกับการสูญเสียอะไรมากมายขนาดนั้น
สาเหตุหลักสาเหตุหนึ่งก็คงมาจากอารมณ์ทางต่ำ
ของใจเรานั่นเองที่ลากเราลงไปจนยากจะถอนตัว
ทั้งที่มีคนที่รักเรามากมายหลายคนพยายาม
ยื่นมือเพื่อดึงเราออกจากก้นเหวนรก
ทั้งที่มีคนรักเรามากมายพยายามร้องเตือนเราว่า
นั่นมันทางที่ผิด
แต่เราเองนั่นแหละที่ไม่เคยรับฟังเสียงร้องเสียงเตือน
จากคนที่รักเราเลย จนเมื่อเราเดินหลงทางมาจนสุดทางเราจึงรู้ว่ามันคือทางตัน
มันพาเราไปต่อไม่ได้แล้ว เราจึงเกิดสำนึกดีสำนึกที่ถูกต้องขึ้น
ชั่งน่าเสียดายจริงๆ





วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

ฟ้าบันดาลหรือตัวเองลิขิต


นายคำกับนางสาวมา
เป็นหนุ่มสาวในหมู่บ้านเดียวกัน
เติบโตมาด้วยกัน วิ่งเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก

เมื่อโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ทั้งคู่จึงอยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตลอดไปจนตายจากกัน
นายคำจึงไปสู่ขอ นางมากับพ่อแม่นางมา เพื่อมาเป็นภรรยา
เมื่อทั้งสองตกลงแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยาแล้ว
นางมาก็ย้ายมาอยู่บ้านนายคำ
นายคำมีอุปนิสัย เป็นคนขยันทำมาหากิน แต่เห็นแก่ตัว
ทำมาหากินได้ ก็เก็บเข้าพกเข้าห่อหมด
ไม่เอื้อเฟื้อจุนเจือสังคม
ส่วนนางมาเป็นคนที่มีน้ำใจ
คอยช่วยเหลือแบ่งปันเพื่อนบ้าน
ผูกมิตรกับเพื่อนบ้านอยู่เสมอมา
แต่เมื่อนายคำรู้เข้าก็ดุด่านางมา
ไม่ให้ไปช่วยเหลือ เพราะเขาหามาด้วยความเหนื่อยยาก
คนพวกนั้นไม่เคยให้เรากิน
มีแต่จะมาคอยหวังพึ่งเราเท่านั้น
คบไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

นางมาบอกว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน
ต้องเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันทีเขาทีเรา
เผื่อวันหน้ามีอะไรขึ้นมาจะได้พึ่งพากัน

นายคำบอกกับนางมาว่า
นี่ ฉันสามารถหาเลี้ยงเธอได้
ฉันยังแข็งแรงดูแลเธอได้มีฉันแล้วเธอยังจะต้องการอะไร
ข้าวเราก็มีกิน เงินทองเราก็มีใช้
คนพวกนั้นมันก็เหมือนเห็บเหมือนหมัด ที่คอยจะดูดเลือดเรา

นางมาจึงพูดว่าวันนี้แกยังแข็งแรง
แต่วันหน้าล่ะ ลูกหลานเราก็ไม่มี
ฉันจะไปขอลูกเขามาเลี้ยงไว้ดูแลยามแก่เฒ่าแกก็ไม่ยอม
วันนึงถ้าแกกับฉันเป็นอะไรไปใครจะดูแลเราสองคน

นายคำก็พูดขึ้นว่านี่แม่มา
ไปเอาลูกเขามาเลี้ยงไปเอาเมี่ยงเขามาอม
แกคิดหรือว่ามันจะดี จะกตัญญูต่อเรา
มันจะมาล้างผลาญสมบัติเราสิไม่ว่า

รับมาแล้วต้องมาเสียเวลาเลี้ยงดูกว่าจะโตใหญ่
เสียเวลาทำมาหากิน
ต้องมาคอยดูแลประคบประหงมกว่าจะโตเป็นภาระเสียเปล่า

เมื่อความเห็นไม่ตรงกัน นางมาจึงหยุดเสีย
พูดไปก็รังแต่จะทะเลาะกัน

ตาคำกับยายมายามแก่เฒ่า
ทั้งสองสุขภาพร่างกายก็ไม่สู้จะดี
ตาคำป่วยกระเสาะกระแสะ
เจ็บโน่น ปวดนี่อยู่เป็นประจำ
เงินทองที่มี ก็ใช้ไปกับการรักษาตัวเองจนร่อยหรอ
แม้เจ็บป่วยไข้ ก็ไร้คนเหลี่ยวมอง สอบถาม

ตาคำยามชรา ยังห่วงแต่สมบัติที่มี
วันหนึ่งตาคำบอกนางมาว่า
นี่แม่มาเอ๊ย
เงินทองเราก็ร่อยหรอแล้ว
ต่อไปไม่ต้องใช้รักษาฉันแล้ว
แกเก็บเอาไว้ใช้เถิด
ยามที่ฉันจากไปจะได้ไม่เดือดร้อน

ยายมาก็พูดสวนขึ้นมาว่านี่ตาคำเอ๊ย
แก่จนจะเข้าโลงแล้ว แกก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือยังไงหือ
แกเห็นไหมว่า เงินทองที่แกสั่งสมมา
มันซื้อความสุข ซื้อชีวิตแกไม่ได้เลย
วันนึงถ้าแกตายไป แกคิดหรือว่าเงินที่แกหาไว้มันจะดูแลฉันได้
แกนี่มันเห็นแก่ตัวตั้งแต่หนุ่มจนแก่เลยจริงๆ

ป่านนี้ถ้ามีลูกเต้า
เราสองคนก็คงไม่ต้องมาลำบากขนาดนี้
งานไร่งานนาก็ยกให้ลูกเต้าดูแล
แก่เฒ่ามาก็มีคนคอยช่วยเหลือ
เจ็บไข้ก็มีลูกหลานอยู่ข้างกาย
นี่เราไม่มีใครอยู่เลย เพราะความเห็นแก่ตัวของแกตาคำ

สักครู่ตาคำก็ถ่อสังขาร ยักๆแย่ๆของแก
เดินลงไปที่แปลงนา
หวังจะเดินไปสำรวจนาข้าว

ส่วนยายมาก็นั่งมองดูสามีอยู่ไม่ละสายตา
สักครู่เดียวตาคำหัวคะมำล้มลง
กลิ้งตกหัวคันนาลงไปในน้ำ

ยายมาซึ่งนั่งมองอย่างไม่ขาดสายตาก็มองเห็นจึงตกใจร้องให้คนช่วย
ส่วนตัวยายมาเองก็รีบลุกพยายามจะไปช่วยสามีให้ได้
แต่ด้วยวัยที่ชราของยายมาก็งกๆเงิ่นๆ
กว่าจะไปถึงตาคำก็เล่นเอาตาคำแย่ไปเสียแล้ว

ยายมาพยายามลากตาคำขึ้นจากแปลงนามาที่หัวคันนา
ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยวัยที่ชราเรี่ยวแรงถดถอย
ยายมาก็ทำไม่สำเร็จ

พอเถอะแม่มาเอ๊ย
เป็นเสียงที่เหนื่อยล้าแผ่วเบาที่ออกมาจากปากของตาคำ
ฉันคงไม่รอดแล้วล่ะแกไม่ต้องช่วยฉันหรอก

ขอบใจแม่มาที่มาร่วมชีวิตกับฉันจนนาทีสุดท้าย
สุขทุกข์หนักเบาไม่เคยบ่น
เป็นคู่ทุกข์คู่ยากของฉันด้วยดีเสมอมา
แม้ว่าฉันจะถือความคิดฉันเป็นใหญ่
แต่แม่มาก็ไม่เคยถือสาเป็นเรื่องเป็นราว
แม่มาเป็นภรรยาที่ดี
แม่มาเป็นแม่บ้านที่ดี
แม่มาเป็นเพื่อนบ้านที่ดี
และฉันก็เชือว่าแม่มาเป็นแม่ที่ดีของลูกด้วย
แต่ต้องโทษตัวฉันที่มีลูกให้แม่มาไม่ได้
ฉันมันไม่เอาไหน
ฉันมันเห็นแก่ตัว
สวรรค์ถึงได้ลงโทษฉัน
ให้ฉันไม่มีลูกเต้า
ห่วงก็แต่แกแม่มา
แกคงลำบากเมื่อไม่มีฉัน
ฉันขอโทษด้วยนะแม่มายกโทษให้ฉันด้วย

สิ้นเสียงตาคำ
ก็สิ้นลมหายใจ
ยายมาพยายามเรียกร้องให้เพื่อนบ้านมาช่วยนำร่างตาคำ
ขึ้นจากแปลงนาเพื่อไปทำพิธีกรรมตามความเชื่อ

เพื่อนบ้านเห็นแก่ยายมาที่เคยมีน้ำใจ
ก็ช่วยกันจัดแจงงานศพตาคำจนเสร็จพิธี

เมื่อสิ้นตาคำ
บ้านหลังใหญ่ของยายมา
ก็เงียบเหงา
ไม่มีเสียงพูดเสียงคุยเสียงสนทนาเจรจา
ที่ข้างกายยายมายามนอนก็ไม่มีใคร
มีเพียงยายมาหญิงชรา ที่ไร้ลูกหลานญาติมิตรคอยดูแล
ข้างกาย ต้องอยู่เพียงลำพัง
ยามกินก็ลำบาก หาข้าวปลาหุงหาอาหาร
ยักแย่ยักยันอยู่คนเดียว
ชีวิตวัยชรายายมามันชั่งเดียวดาย อ้างว้าง
เหว่ว้า เงียบเหงา
ยายมาต้องนอนฟังเสียงนกเสียงกา
เสียงกบเสียงเขียดทุกวี่วัน
วันแล้ววันเล่า

หลายวันต่อมาเพื่อนบ้านข้างเคียง
ไม่เห็นยายมาลงมาจากบ้านทำกิจวัตรประจำวัน
จึงชวนกันไปที่บ้านยายมาเพื่อไปสอบถามข่าว

เมื่อไปถึงหน้าบ้าน
ชาวบ้านก็ได้กลิ่นซากศพ
ลอยมาตามลม
ชาวบ้านจึงขึ้นไปบนบ้าน
ก็พบเห็นร่างไร้วิญญาณของยายมานอนขึ้นอืด
อยู่บนแคร่ไม้ไผ่ อย่างน่าเวทนา

ชาวบ้านจึงช่วยกันนำร่างยายมา
ซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นคนน้ำใจงาม
แอบแบ่งปันน้ำใจถึงเพื่อนบ้านเสมอยามมีชีวิต
เมื่อยามสิ้นลม ยายมาซึ่งไร้แม้เงาลูกหลานญาติมิตร
ก็ได้แรงบุญที่เธอก่อไว้กับเพื่อนบ้าน
มาช่วยนำร่างของเธอไปทำพิธีตามหลักศาสนา
แทนที่จะถูกปล่อยให้เน่าสลาย
เป็นเหยื่อของนกกาหรือสัตว์น้อยใหญ่

นี่จึงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ยายมาได้เกาะอาศัยยามสิ้นลม
ด้วยแรงบุญที่เธอเคยมี เธอจึงไม่ถูกทิ้งให้เน่าเปื่อยคาบ้าน
ทรัพย์สินของตาคำก็ไม่สามารถ ช่วยอะไรได้เลย
จะมีก็แต่แรงบุญแรงกรรมเท่านั้นที่จะหนุนนำเรา
เข้าสู่นรกหรือสวรรค์ยามสิ้นลม







วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558

ชีวิตคู่ต้องดีกว่าอยู่คนเดียว






เวลาพูดถึงชีวิตคู่
เรามักจะนึกถึงอะไรเป็นสิ่งแรก
เซ็กส์ ความรัก ความเข้าใจ ความห่วงใย
หรือทุกอย่างรวมกัน

เรื่องชีวิตคู่ ต่างคนต่างก็มีมุมมองของตนเอง
มันขึ้นอยู่กับว่า ใครต้องการสิ่งใด
ถ้ามีชีวิตคู่แล้ว มันตอบโจทย์ ในสิ่งที่ตนเองต้องการนั้น
หลายคนก็อาจ มองว่า ใช่ มันใช่ตามนั้นเลย

แต่สำหรับฉัน
ฉันมีพื้นความคิดเกี่ยวกับเรื่องชีวิตคู่นี้ว่า

สิ่งแรกเลย ก็คือ
การมีชีวิตคู่ มันต้องดีขึ้นกว่าการที่เราอยู่คนเดียว
เพราะถ้าเรามีชีวิตคู่แล้ว ชีวิตของเรา ไม่ได้
แตกต่างอะไรจากที่เราอยู่คนเดียวเลย
คือเคยลำบากอย่างไรก็อย่างนั้น
เคยเหงาอย่างไรก็ยังคงเหงาอย่างนั้น
เคยไม่มีคู่คิด คู่ปรึกษา อย่างไรก็อย่างนั้น



คือชีวิตเรา เราไม่รู้สึกเลยว่ามันแตกต่างจากการ
ที่เราอยู่คนเดียว แถมบางครั้ง เรายังรู้สึกว่า มีภาระมาเพิ่มอีกด้วย
หลายครั้งกลายเป็นว่า เราต้องมาเหนื่อย กับคู่ของเรา
ที่ขยันหาแต่เรื่องทุกข์ใจ ทุกข์กายมาใส่ให้เราแบกรับ
มีก็เหมือนไม่มี พึ่งพาอาศัยไม่ได้
ยามลำบาก ยามเข้าตาจน
แทนที่จะเป็นที่พึ่งพา เป็นที่ปรึกษา หาทางผ่อนคลายปัญหาให้เรา
กลับกลายเป็นว่า ตัวเราเองต่างหากที่ต้องแบกหน้าไปขอรับความช่วยเหลือ
จากผู้อื่น ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่เราสร้างขึ้น

แล้วอย่างนี้ เราจะมีชีวิตคู่ไปเพื่ออะไร

การมีชีวิตคู่ สำหรับฉันแล้วมันหมายถึง
มีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระปัญญหา
มีคนมาคอยเป็นคู่คิด ที่ปรึกษา
หาทางแก้ไข และช่วยกันทำมาหากิน สร้างฐานะ
สร้างครอบครัว และทำให้ครอบครัวเป็นครอบครัว
ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีครอบครัว เรามีความมั่นคง
เรามีคนที่เราจะฝากผีฝากไข้ได้ยามเรา เจ็บไข้ได้ป่วย
ยามที่เราชรา มีคนคอยดูแลเรา
ทำให้เราอยากมีชีวิตอยู่ มีความสุข มีความหวัง
 และถ่ายทอดความหวังนั้น ไปยังสายเลือด หรือลูกหลานของเรา
ทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่เสียชาติเกิด ที่เกิดมาเป็นคน
ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีความสำคัญ
ยามหนาวก็มีกันและกัน
ยามร้อนก็มีกันและกัน
ยามสุขยามสบายยามป่วยไข้
เรามีกันและกันตลอด และเรายังมีลูกซึ่งคอยเป็นโซ่ทองคล้องใจ
ยามเราแก่เฒ่าก็ได้เห็นหน้าลูกหลานคอยดูแลยามชรา
และจากโลกนี้ไป โดยที่ฉันไม่รู้สึกเลยว่า มันยังมีอะไรที่ติดค้างอยู่

นี่คือความหมายของชีวิตคู่ของฉัน
คือมีคู่แล้วต้องดีกว่าอยู่คนเดียว
มีคู่แล้วต้องมีอนาคต
มีคู่แล้วต้องมีผู้สืบสายเลือดต่อไป
มีคู่แล้วต้องทำให้ฉันรู้สึกว่า
นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ






วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558

อยู่กับอดีตที่แสนหวานดีกว่าอยู่กับอนาคตที่ว่างเปล่า




บางครั้งการที่เราเดินออกจากอดีตไม่ได้
มิใช่เพราะว่าตัวเราเองจะยึดติดอยู่กับอดีตฝ่ายเดียว

บางครั้งบางที
มันมีข้อเปรียบเทียบเกิดขึ้น
ระหว่างคนในอดีตกับคนในปัจจุบัน
บางทีเราเคยคิดที่จะเดินหนีจากอดีตไปก็หลายต่อหลายครั้ง
แต่พอเอาเข้าจริงก็กลายเป็นว่า
คนใหม่นั้น เขาไม่ได้ต้องการเรา
หรือรักเราอย่างจริงใจ

คนที่หัวใจเคยมีแผลมาแล้ว
แน่นอนว่าจะต้องมีความระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี
เพื่อไม่ให้เหตุการณ์มันซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง
เมื่อเรายื่นมือแล้ว
เมื่อเรายื่นไมตรีแล้ว
เขายื่นตีนส่งกลับมาให้เรา
มันก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะยื่นมือออกไปอีก

สู้เก็บมือ เก็บใจของเราเอาไว้
อยู่กับโลกของเราในอดีตดีกว่า
อย่างน้อยคนในอดีตก็ไม่เคยรังเกียจ
อย่างน้อยคนในอดีตก็คือคนที่รักเราทั้งกายทั้งใจ
โดยที่ไม่มีประโยชน์อื่นใดแอบแผงทั้งสิ้น
แม้อดีตเราจะเจ็บ แต่เราก็เจ็บเพราะผู้ใหญ่
หาใช่เราเจ็บเพราะคนรักเราไม่
เรารักกันจนนาทีสุดท้าย
จนวันนี้เราก็ยังเชื่อว่าเรายังรักกัน
ที่ฉันมั่นใจได้ก็คือ ฉันยังมีรักมั่น
เรายังมีสัญญาต่อกัน
ที่ยังสานต่อไม่เสร็จสิ้น
เธออยากเปิดคลีนิก
ส่วนฉันอยากเปิดโรงเรียนกวดวิชา
อยู่ใกล้ชิดกัน และมีลูกน้อยเป็นโซ่ทองคล้องใจ

ฝันเรายังคงอยู่
แม้ตัวเราจะถูกพรากจากกัน
เชื่อว่าจิตใจของเธอคงไม่ลืมฉัน เช่นเดียวกัน
กับที่ฉันไม่เคยลืมเธอเลยเช่นเดียวกัน

แม้ว่าหลายครั้ง ฉันเคยคิดว่าจะมีคนมาแทนเธอได้
ฉันเคยคิดจะเดินจากเธอไป
แต่กลายเป็นว่า ไม่มีใครรักเราเท่าเธออีกแล้วในชาตินี้
ฉันยินดีที่จะจมอยู่กับความทรงจำดีๆเก่าๆในอดีตนี้
ชั่งมันใครจะกล่าวหาว่าฉัน จมปรักดักดาน ไม่ยอมเปิดตา เปิดใจดูโลกภายนอก
เพราะความเป็นจริง ฉันเปิดตา เปิดใจ และทุ่มเททุกอย่าง
ที่คนคนหนึ่งจะทำได้ ฉันได้ทำแล้ว
แต่สิ่งตอบรับคือ ความว่างเปล่า
แล้วประโยชน์อะไรที่ฉันจะต้องเสียเวลาเพื่อไปอยู่กับความว่างเปล่าอีกล่ะ
สู้ให้ฉันฟังคำหวานกระซิบข้างใจของฉันจากคนในอดีตจะดีเสียกว่า
อย่างน้อยหัวใจของฉันก็ไม่เคยเจ็บปวดเพราเธอคนในอดีตคนนั้นเลย