ยินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับคนใจช้ำที่ถูกย่ำยีมาไม่ว่าคุณจะเป็นใครเราคือเพื่อนกัน

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไดอารีสีดำ15


ไม่นานมีผู้ชายเปิดประตูรถ เดินลงมา
อยู่นี่เองริญ พี่อุตสาห์ไปรอรับที่คณะก็ไม่เจอ 
ที่แท้มาจู๋จี๋กันอยู่นี่เอง ชายคนนั้นกล่าว

ไอ้หมอนี่เป็นใครกันล่ะริญ 
ดูท่าทางสนิทสนมถึงขั้นจูงมือเกี่ยวก้อย
นี่ทิวจ้ะเป็นแฟนของริญเอง ริญแนะนำเรา
ทิวจ้ะนี่พี่เอกอมร ยังไม่ทันได้ทักกัน
นายเอกอมรก็ย้อนถามริญว่า
เมื่อกี้เธอว่าไอ้หมอนี่เป็นแฟนเธอหรอ
ใช่จ้ะเรารักกันมาตั้งแต่เรียน ม.อยู่ขอนแก่นโน้น
และก็เป็นรักแรกรักเดียวของริญ ริญจะแต่งงานกับทิวเขาเมื่อริญเรียนจบ
ริญย้ำความมั่นใจเหมือนจะแสดงให้ นายเอกอมรรู้ว่าเธอมีเจ้าของหัวใจแล้ว

ไม่ได้นะริญ พี่รักริญ ริญก็รู้ นายเอกอมรพูด
แต่ริญไม่ได้รักพี่เอกอมร พี่ก็รู้เช่นกัน ริญตอบโต้
นี่เธอกล้าพูดกับพี่อย่างนี้เลยหรือริญ นายเอกอมรพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
พร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาเราทั้งคู่
วันนี้พี่จะไปพูดเรื่องของเรากับคุณย่า ไปกับพี่เลยริญ 
ไม่ทันขาดคำนายเอกอมรก็เดินตรงปรี่เข้ามาจะจับแขนของริญ
ริญหนีมาหลบข้างหลังเรา
แต่นายเอกอมรก็ไม่ลดละเอื้อมมือจะคว้าแขนของริญให้ได้

เราชกไปที่หน้านายเอกอมรอย่างจังจนนายเอกอมรเซถลาออกไป
นี่มึงกล้าต่อยกูหรือ มึงเป็นใครวะ 
นายเอกอมรพูดออกมาด้วยความโมโห
เราก็เดินตรงเข้าไปหานายเอกมรและกำลังจะต่อยซ้ำเข้าไปอีก
ริญก็ดึงแขนไว้
พอเถอะจ้ะทิว แค่นี้ก็เรื่องใหญ่แล้ว ริญพูดด้วยความห่วงใยและน้ำเสียงที่กังวล
เรายอมถอยออกมาตามริญ และบอกนายเอกอมรว่า
อย่าได้คิดมาแตะต้องริญแม้เพียงปลายก้อย

นายเอกอมรเดินกลับไปที่รถ พร้อมประกาศเสียงดังว่า
จำไว้เลยมึง จำไว้ริญ พวกเธอจะไม่มีทางสมหวัง คอยดู
แล้วนายเอกอมรก็ขับรถบึ่งออกไป
เมื่อนายเอกอมรจากไป ริญก็เดินเข้ามาหาเรา
เป็นอะไรไหมทิว ริญถามด้วยความห่วงใย
ทิวไม่เป็นอะไร เราตอบ
ต้องขอโทษนะริญ 
ทิวห้ามใจไม่อยู่ที่เห็นคนจะเข้ามากระชากลากถูริญ
เธอเข้ามาจับแขนเรา

วันนี้คงเสียบรรยากาศแล้วทิวเอาไว้วันหลัง 
ริญค่อยพาทิวไปพบคุณย่านะจ้ะวันนี้กลับก่อนเถอะจ้า
ก่อนที่พี่เอกอมรจะกลับมาอีก ส่วนริญจะเข้าไปแจ้งเรื่องนี้ให้คุณย่ารู้ไว้ก่อน
เพื่อหาทางรับมือพี่เอกอมร

-

เรากลับมาที่พักที่คอนโดวันนี้ด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดี
ด้วยเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ทำให้เราเกิดความไม่สบายใจ
สิ่งแรกเลยคือเป็นห่วง วริญญา
เรานึกถึงความกังวลใจที่ วริญญาเธอพูดมาตลอดกับผู้ชายคนนี้
เราเพิ่งได้เจอกันเป็นครั้งแรก ก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ

เราคิดอยู่ในใจว่าถ้าปล่อยผู้ชายคนนี้อยู่ใกล้ริญ มากๆคงไม่ดีแน่
เรารู้สึกเป็นห่วง สวัสดิภาพของริญขึ้นมาทันที
เราคิดหาวิธีที่จะเข้าไปแทรกตรงนี้ให้ได้
เราจะไม่เปิดโอกาสให้คนอย่างนายเอกอมร
ได้มีโอกาสใกล้ชิดริญอย่างเด็ดขาด
ไม่ใช่เราไม่เชื่อใจ วริญญา
แต่เราไม่เชื่อว่าคนอย่างนายเอกอมรจะยอมง่ายๆมากกว่า

เพราะเท่าที่ฟังจากเธอเล่ามา ภายในรั้วบ้านหลังใหญ่ แท้ที่จริงมีเพียงคนแก่ 
เด็กและผู้หญิงเท่านั้นเอง
 อาของริญก็กลับบ้านเย็นเช่นกัน
และนายเอกอมรก็รู้เวลาที่จะเข้ามาบ้านด้วยเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงตัดสินใจ โทรศัพท์จากที่คอนโด
ไปหาริญทันที
สอบถามริญถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ริญอธิบายว่าได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณย่าฟังแล้ว

เราจึงเสนอว่า ทุกเย็น เราจะไปอยู่กับริญที่บ้าน
โดยใช้น้องหญิง หลานสาวเธอเป็นข้ออ้างในครั้งนี้
เราอาสาว่าจะไปสอนการบ้านและสอนคอมพิวเตอร์ให้กับน้องหญิง
ซึ่งริญก็เห็นดีด้วย และรับปากว่าจะคุยเรื่องนี้ให้อาเธอรับรู้และอนุญาต


วันต่อมาริญโทรมาหาที่คอนโดบอกว่าให้เราไปสอนน้องหญิงได้ตั้งแต่เย็นนี้เป็นต้นไป

นี่เป็นโอกาสของเราที่จะได้เข้าไปดูแลริญด้วย

พอใกล้เวลานัดหลังจากเราจัดแจงงานต่างๆเสร็จสรรพ
เราก็บึ่งรถจากที่ทำงานตรงไปที่บ้านคุณย่าของริญโดยไม่รีรอ
เราขับรถมาถึงหน้าบ้าน มีพี่ขิงมารอเปิดประตูบ้านอยู่แล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่บ้านหลังนี้เปิดประตูให้เราก้าวเข้าไป
เราขับรถเข้าไปพอพ้นรั้วก็เห็นริญ ยืนยิ้มหวานรออยู่เช่นกันกับน้องหญิง
เมื่อเราลงจากรถ ริญก็แนะนำให้น้องหญิงรู้จักกับเราว่าคือคุณครูคนที่จะมาสอนน้องหญิง
เมื่อทักทายกันเสร็จ
ริญพาเราไปแนะนำตัวกับคุณย่าเธอ
เรายกมือไหว้คุณย่าริญด้วยความนอบน้อม

คนนี้ใช่ไหมที่มีเรื่องกับพ่อเอกอมรวันก่อน คุณย่าริญเอ่ยถามเปรยออกมา
 ใช่ครับคุณย่าเป็นผมเอง ผมชื่อทิวครับ

เราสังเกตท่าทีคุณย่าของริญก็เป็นเพียงคนแก่ 
ที่ขาดลูกหลานมาคอยดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิดเท่านั้น
ดูหน้าตาท่าทาง ก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นคนขาดเหตุผลแต่อย่างใด

เราจึงเป็นฝ่ายเริ่มสนทนา
คุณย่าครับผมจะมีปัญหามากเวลาไปสอนเด็กๆตามบ้าน
เด็กส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสนใจกับการเรียน
จะเดินหนีอยู่เรื่อย ผมจะดุก็ไม่ได้
เลยต้องใช้วิธีเล่านิทานให้ฟังก่อนเพื่อเป็นการชักจูงใจ โดยจะเล่าวันละตอน
ค้างเอาไว้ให้เด็กอยากรู้ ตอนต่อไป 
เมื่อพวกเด็กๆอยากรู้อยากฟังต่อก็จะมีการเรียนการสอนเกิดขึ้นได้
กว่าจะเอาอยู่ก็นานเลยครับ
คุณย่าของริญก็นั่งฟังปกติไม่แสดงอาการอย่างไร

เราก็พูดต่อไปอีกว่า
ปัญหาของผมจึงเกิดขึ้น คือไม่มีนิทานที่จะเล่าให้เด็กๆฟัง
ผมจำนิทานเก่าๆเรื่องหนึ่งที่ยายผมเคยเล่าให้ฟัง แต่ผมจำไม่ได้ว่ามันชื่อเรื่องอะไร
ผมอยากนำไปเล่าให้เด็กฟัง
ผมจำได้เพียงบางตอนว่า จะมีหมูกับหมา ที่ชาวนาให้ช่วยทำนา
อะไรซักอย่างนี่ครับ
และผมจำได้ตอนจบว่าชาวนาให้หมากินข้าวให้หมูกินรำ
ส่วนเนื้อหาส่วนอื่นผมจำไม่ได้
คุณย่าริญก็ยังนั่งเงียบ

เราคิดว่าเราได้พูดในส่วนที่เราอยากพูดแล้ว เดี๋ยวก็เกิดผลตามมาไม่นานแน่
จึงขอตัวออกมาเพื่อไปสอนน้องหญิง
เราเดินออกมานั่งที่สวนในบ้านที่เป็นโต๊ะ มีที่นั่งเล่น
และก็พูดคุยเพื่อทำความเข้าใจและคุ้นเคยกับเด็กก่อนเหมือนเช่นเคยที่เราเคยทำมา

แต่เราสังเกตว่า วันนี้ วริญญาจะนั่งจ้องมองเราเป็นพิเศษ
มองตั้งแต่เราลงจากรถ มองตั้งแต่หัวจรดเท้า จนเวลานี้เธอยังจ้องมองเราอยู่

เราจึงถามริญด้วยความสงสัย
ริญมีอะไรหรือเปล่าจ้ะ
ริญสะดุ้งนิดหน่อยแล้วก็ยิ้ม
ริญไม่เคยเห็นทิวสวมใส่ชุดสูทอย่างนี้เลยตั้งแต่คบกันมา
มันแปลกตาริญดีน่ะทิว
ทิวดูเป็นคนละคนเลย
ทิวดูสง่า โดดเด่น มันรับกับบุคลิกของทิวเป็นอย่างมาก เธออธิบายความในใจให้เราฟัง

แสดงว่าที่ผ่านมา ทิวดูแย่หรือไงจ้ะริญ เราถามย้อนกลับ
ไม่นะจ้ะทิว ทิวเป็นคนบุคลิกดีโดดเด่นอยู่แล้ว
เพียงแต่เหมือนมันมีอะไรมาปกปิดเอาไว้อยู่
เมื่อริญเห็นทิวแต่งตัวแบบนี้ ถึงได้รู้ว่า มันใช่เลยนี่แหล่ะคือทิว

งั้นทิวจะแต่งตัวอย่างนี้มาทุกวัน เราแสร้งพูด
แต่ริญยังชอบที่ทิวแต่งตัวสบายๆที่ทิวเคยเป็นมากกว่านะทิว มันดูเป็นกันเองดี
ง่ายๆอยากนั่งอยากนอนไหนก็ได้ 
ริญก็ด้วย ริญชอบแต่งตัวง่ายๆตามโอกาส ตามกาลเทศะมากกว่า
ถ้างั้นริญก็เข้าใจถูกแล้วจ้ะ
นี่เป็นชุดที่ทิว ใส่ทำงานทุกวัน
พอทิวเลิกงานก็บึ่งรถมานี่เลยยังไม่ได้กลับบ้าน

จากนั้นเราก็พยายามปูพื้นฐานการเรียนให้น้องหญิง
โดยมีริญนั่งจ้องดูเราด้วยความตั้งใจอยู่ข้างๆอย่างไม่ละสายตา
พอเราสอนไปสักพักเธอก็ลุกไปยกน้ำออกมาให้ดื่ม
และคอยนั่งอยู่ข้างๆให้กำลังใจต่อไป
เมื่อสมควรแก่เวลาเราจึงขอตัวกลับ
และก่อนจะกลับจึงเดินเข้าไปกราบลาคุณย่าของริญ
พอเราจะหันหลังกลับ

คุณย่าของริญก็พูดขึ้นว่า
นิทานเรื่องนี้ฉันจำได้ถ้าเธอไม่รีบก็นั่งลงก่อนแล้วฉันจะเล่าให้ฟัง
เพื่อที่เธอจะนำไปเล่าให้พวกเด็กๆฟัง
เรากับริญ หันไปสบตามองหน้ากัน ก่อนที่จะนั่งลงทั้งคู่

แล้วคุณย่าของริญก็ได้เล่านิทานเรื่องดังกล่าว ซึ่งเราก็รู้เรื่องราวดีอยู่แล้ว 
อย่างไม่ขาดตกแม้ตอนเดียว
แถมยังเล่าอย่างออกรสออกชาติ
และเล่าให้เราฟังอีกหลายเรื่อง เรานั่งฟังอยู่จนเกือบสองทุ่ม
กว่าคุณย่าริญจะหยุดเล่า
แถมยังพูดคุยเป็นกันเองกับเรา มีรอยยิ้มมีเสียงหัวเราะเป็นตอนๆ

เมื่อเรากำลังจะกลับ ริญก็พูดขึ้นว่า
ทิวจ้ะ ทิวทำได้ไง
เรื่องอะไรจ้ะริญ เราแกล้งถาม
ก็เรื่องคุณย่าสิจ้ะ
ตั้งแต่ริญมาอยู่ที่นี่  ริญไม่เคยเห็นคุณย่าคุยกับใครนานๆอย่างนี้เลย
แต่คุยกับทิวอยู่ตั้งนาน แถมคุณย่าดูจะมีความสุขมากด้วย 
ริญถามด้วยความสงสัย

คำตอบก็อยู่ที่บ้านหลังนี้แหล่ะริญ
ริญลองมองดูสิจ้ะ
เวลานี้มีใครอยู่ที่บ้านบ้าง
มีริญ มีน้องหญิง มีพี่ขิง เท่านั้น
และก่อนหน้าที่ริญกับน้องหญิงจะเลิกเรียน
มีใครจ้ะ ก็จะมีแค่พี่ขิงคนเดียว

อาริญก็กลับเสียมืด กลับมาแล้วก็แทบจะไม่ได้พบกันด้วยซ้ำมั้งทิวว่า

ริญลองคิดดู
คนแก่ถูกทิ้งไว้อย่างนี้ กี่วันกี่ปีมาแล้วก็ไม่รู้
ไม่มีลูกหลานมาพูดคุยนั่งเล่นหยอกล้อ
ก็เหงาเป็นธรรมดา

คนแก่นะริญ เขาจะคิดเสมอว่า
พวกเขาอาบน้ำร้อนมาก่อนเรา เห็นโลกมาก่อนเรา
จึงไม่ชอบให้ใครมาเหยียดหยามพวกเขา
มองข้ามความสำคัญของพวกเขา

ทั้งหมดก็มีเท่านี้จ้ะริญ
ทิวจึงเข้าไปปลุกจิตใจคุณย่าให้ฟื้นมา โดยถามนิทานเก่าๆเพื่อให้คุณย่าได้เล่า
ได้คิดว่าตัวเองมีความสำคัญ
เราเป็นเด็กก้มหัวเข้าหาผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เป็นบุพการีเรา
ก็ไม่เห็นมันจะเสียหายตรงไหนจ้ะริญ

ทิวเพิ่งมาบ้านนี้เป็นวันแรก ก็รู้จักคุณย่ามากกว่าริญเสียอีก ทิวเก่งๆจริง
ที่สามารถเอาชนะใจคุณย่าได้
รวมทั้งหัวใจหลานสาวของคุณย่าด้วยจ้ะริญ เราล้อเล่นกับริญ
จ้า..ริญยอมรับ
แล้วเธอก็เดินออกมาส่งที่รถ

ริญจ้ะ ขึ้นมานั่งบนรถคันแรกที่ทิวมีเพื่อเป็นเกียรติสักครั้งได้ไหม
เธอยิ้มก่อนจะเปิดประตูขึ้นมานั่งข้างคนขับด้านหน้า

เป็นไงจ้ะทิวริญอยู่นี่แล้ว
ดีจ้ะริญ รถคันนี้ได้รับใช้เจ้าของครบแล้ว
ยังมีบ้านอีก ที่เจ้าของตัวจริงยังไม่เข้าไปอยู่
เมื่อไหร่จะไปจ้ะคนดี เราเอ่ยถามเธอใกล้ๆ
ไว้วันหยุดจ้ะทิว ถ้าทิวยังคงเข้าหน้าคุณย่าได้อย่างนี้
ริญก็หมดห่วงแล้ว ที่เหลือก็คงไม่ยากหรอกจ้า
พรุ่งนี้เจอกันจ้ะทิว

ขับรถดีๆนะริญพูดเบาพร้อมกับจับมือเรามาบีบแน่น
ก่อนที่เธอจะลงจากรถและเดินมาเปิดประตูบ้าน


กลับถึงบ้านวันนี้ เราก็โล่งใจไปได้อีกเปราะหนึ่ง
ที่อยากน้อยก็สามารถทลายกำแพงกั้นของคุณย่าริญลงไปได้
ปัญหาหัวใจของเราถึงเวลานี้จะเรียกได้ว่า ไม่มีแล้วก็คงไม่เกินความจริงมากนัก
จะเหลืออยู่ก็แต่ นายเอกอมรนี้เท่านั้นที่ไม่ยอมรามือจากเราสองคน

นายเอกอมรพยายามที่จะขับรถไปดักรอริญอยู่ที่คณะตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
แต่ก็พลาดกับริญ เนื่องจากเธอจะหลบหน้าและหาทางปกปิดไม่ให้
นายเอกอมรทราบข่าวความเคลื่อนไหวของเธอ

ต่างจากตัวเราที่ 
วริญญาจะบอกกล่าวอยู่เสมอว่าวันนี้เรียนกี่โมง เลิกกี่โมง 
นัดเจอกันที่ไหน หรือวันไหนไม่มีเรียนบ้าง
สิ่งต่างๆเหล่านี้คือส่วนที่นายเอกอมรไม่รับรู้

นับจากที่เราได้ไปสอนน้องหญิงตั้งแต่วันนั้นแล้ว
ตัวเราก็ได้กลายเป็นแขกประจำของบ้านหลังนี้มาโดยตลอด
สามารถเข้านอกออกในได้ทุกเวลา
และได้รู้ความจริงจากการบอกเล่าของคุณย่าริญว่า

ครอบครัวเราเหมือนมีกรรม
คุณย่ามีลูกสองคนก็คือคุณพ่อริญ กับอาสาวของเธอที่อาศัยอยู่ที่เรือนเล็กกับสามีเวลานี้
เพียงสองคนเท่านั้น
พ่อของริญก็รับราชการต้องไปอยู่ที่ต่างจังหวัดตลอดเวลา
จนไม่มีเวลามาอยู่กับพ่อแม่ คือคุณปู่คุณย่าริญ
จนไปมีครอบครัว ก็มีลูกสาวเพียงคนเดียวคือริญ
ส่วนน้องสาวพ่อของริญก็รับราชการรวมถึงสามีเธอด้วย
จึงไม่ค่อยมีเวลาได้พบปะพูดคุยกันเท่าไหร่ แม้จะอาศัยอยู่ในรั้วเดียวกัน
อาของริญก็มีลูกสาวเพียงคนเดียวเหมือนกันคือน้องหญิง
ปู่ของริญก็รับราชการมาตลอดชีวิต
เรียกได้ว่าครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวข้าราชการโดยแท้ มาแต่ปู่
มีลูกมีหลานน้อยคน
ภายในบ้านที่มีเนื้อที่มากมายจึงเต็มไปด้วยความเงียบเหงาอย่างที่เห็น

ครอบครัวเราพ่อแม่ลูก ไม่เคยได้อยู่พร้อมหน้ากันสมบูรณ์แบบเหมือนคนอื่นเขาทั่วไป

และนี่มาถึงรุ่นหลานก็ทำท่าว่าจะซ้ำรอยเดิม
แม้แต่ริญก็ต้องแยกจากครอบครัวมาเรียนอยู่ที่กรุงเทพ
ปล่อยให้พ่อสุพจน์ และแม่ อรพิน พ่อแม่ของริญ ได้รับความรู้สึกเดียวดายเฝ้าบ้าน
เหมือนตอนที่ฉันเคยได้รับ

นี่คือบางส่วนที่คุณย่าริญได้บอกเล่าให้เราฟังถึงความเจ็บปวด
ที่พ่อแม่ลูกไม่เคยได้อยู่กันพร้อมเพรียงหน้า
แม้จะมีชื่อเสียงและสถานะทางสังคม
แต่กลับมีจิตใจที่ว้าเหว่เป็นยิ่งนัก

เมื่อเราได้ฟังก็ยิ่งได้เข้าใจความรู้สึกของคุณย่าริญที่ต้องแบกรับมาตลอดชีวิต

ส่วน
ความรักของเรากับริญมันสุกจนงอมมานานหลายปีแล้ว
ตอนนี้เรากับริญสามารถไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองโดยเปิดเผยได้
โดยที่คุณย่าเธอรู้เห็นและอนุญาต
เมื่อมีเวลา เสาร์อาทิตย์ถ้าเราไม่มีงานเราก็จะไปเที่ยวกันตามสถานที่ต่าง
ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันค้างคืนด้วยกันที่คอนโดเราบ้างสถานที่ท่องเที่ยวบ้าง
เรากับ วริญญาเวลานี้
โดยพฤตินัยแล้ว ถือว่าเราเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์แบบ
ยังขาดก็แต่ทางนิตินัยหรือทางกฎหมายเท่านั้นที่เรายังไม่ได้เป็น
และเราก็รอมันอยู่อย่างเร่งวันเวลาให้มาถึงโดยเร็ว

จะเป็นเพราะเรากับริญรักกันเป็นรักแรกของทั้งคู่หรือไม่ก็ไม่ทราบได้ ที่ทำให้เรา
ทั้งสองรักกันมากเพราะเรารักษารักแรกของเราได้มาอย่างยาวนาน
ยิ่งเรารู้จักกันมานาน
ยิ่งทำให้เรารู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี ชนิดมองตาก็รู้ถึงใจ
เมื่อเราได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตร่วมกันเป็นเฉกเช่นคู่สามีภรรยากัน
ก็ยิ่งทำให้เรารักกันมากขึ้นมิมีเสื่อมคลายลงไปได้เลย
วันไหนที่เธอไม่มีเรียน วริญญาเธอก็จะมาทำหน้าที่เป็นแม่ศรีเรือนอยู่ที่คอนโดเรา
เราช่วยกันประคับประคองดูแลหัวใจให้กันและกัน เติมรักให้กันมิเคยว่างเว้น
จนขณะนี้ริญจวนเจียนจะจบอยู่แล้วในเดือนหน้า
ขณะที่เราก็เดินหน้าไปได้อย่างดีทั้งการเรียนและการงานเช่นกัน
ริญ บอกว่าเมื่อเธอจบ เธอต้องถูกส่งตัวเข้าตามศูนย์เพื่อไปปฏิบัติงาน
ตามขั้นตอนที่เขากำหนดไว้
ซึ่งพวกเราทั้งสองก็ไม่ได้ห่วงใยหรือวิตกแต่อย่างไร

สิ่งเดียวที่ วริญญา เธอคาดหวังเอาไว้คือ
อยากกลับบ้านอยากลับไปเปิดคลีนิคเล็กๆที่ขอนแก่นซักแห่งหนึ่ง 
และให้เราย้ายกลับไปอยู่ที่โน่นไปครองรักอยู่ด้วยกันตราบวาระสุดท้ายของชีวิต
ซึ่งถ้าดูตามรูปกาลแล้ว ก็ไม่น่าจะมีอะไรแปรเปลี่ยนไปจากนี้แล้ว
เราสองคนรอเพียงแค่วันที่ริญเรียนจบอย่างเดียวเท่านั้น

วันหนึ่งหลังจากที่ริญมาอยู่กับเราที่คอนโดตั้งแต่วันเสาร์
ในคืนวันอาทิตย์ประมาณทุ่มเศษๆเราก็พาเธอกลับบ้านคุณย่าของเธอ

หลังจากที่เรากลับไปถึงก็ไปกราบคุณย่าเธอ
แล้วคุณย่าเธอก็กล่าวขึ้นมาว่า
หลานทั้งสองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
จะไปไหนมาไหนด้วยกันนานๆคนก็จะมองว่าไม่งาม
เธอต้องมาสู่ขอหลานสาวของฉันซะทิว
หมั้นหมายกันให้มันเรียบร้อยหรือขอวันนี้แต่งมันวันนั้นเลยก็ได้
ย่าเองก็ชักรำคาญ เจ้าเอกอมรมันมาคอยระรานอาละวาด
ทุกครั้งที่ริญไม่อยู่มันก็มาเอ็ดตะโรเอากับย่าอยู่เป็นประจำ
เธอไปหาคนที่เธอนับถือมาซักคนสองคนพอเป็นพิธีก่อนก็พอ
แล้วย่าจะให้ริญโทรเรียกพ่อแม่เขาลงมาจากขอนแก่น
จัดการหมั้นหมายแต่งงานมันให้เรียบร้อยไปซะเลย
ไหนๆก็รักกันมานาน แต่งช้าแต่งเร็วมันก็แต่งอยู่วันยังค่ำ
นี่เป็นคำพูดที่เราทั้งสองคนดีใจอย่างสุดขีด
เราโน้มตัวมาสวมกอดกันต่อหน้าคุณย่าริญ
และก้มลงกราบแทบเท้าขอบคุณท่านที่เข้าใจในรักเรา

แล้ววริญญาก็รีบลุกไปโทรศัพท์กลับบ้านแจ้งข่าวกับพ่อแม่เธอ
และให้คุณพ่อคุณแม่เธอรีบลงมาโดยด่วน
ส่วนตัวเราก็ไม่รอช้า
รีบโทรศัพท์ไปหาพี่พงษ์ และคุณกิตติพงษ์ 
ซึ่งเรานับถือเป็นเหมือนดั่งพี่น้องร่วมสายเลือดให้เตรียมตัวมาเป็น 
ผู้ใหญ่เพื่อเตรียมสู่ขอ วริญญาแต่งงานในวันพรุ่งนี้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น