ยินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับคนใจช้ำที่ถูกย่ำยีมาไม่ว่าคุณจะเป็นใครเราคือเพื่อนกัน

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ระยะห่างทางสังคม



ชีวิตคนเรา ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ถ้าไม่มีคนอื่นช่วยเหลือ

อริสโตเติลบอกว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
ไม่สามารถดำรงชีวิตเพียงลำพังได้

ตั้งแต่ลืมตาอ้าปากออกมาดูโลก
มนุษย์ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย
ถ้าไม่มีพ่อแม่คอยฟูมฟักเลี้ยงดู
และมนุษย์ยังใช้เวลามากมายกว่าจะโต และรับผิดชอบตัวเองได้
บางคนอายุล่วงเข้าถึง 30 ปี ก็ยังพึ่งพาพ่อแม่
แม้แต่มีลูกมีเมีย มีผัว ก็ยังต้องพึ่งพาพ่อแม่
คอยประคับประคองครอบครัวให้ ลูกลูกเลี้ยงหลานให้

เมื่อเราเติบโตเข้าสู่สังคม เราก็ยังต้องการคนอื่น
ต้องการความรัก ความอบอุ่นจากคนอื่น
ต้องการการดูแลรักษาเหมือนพ่อแม่ที่ดูแลเรามา
ต้องการความรู้วิทยาการในการทำมาหากิน
ต้องการคนให้โอกาสกับเรา
ทั้งหมดทั้งสิ้นบ่งบอกว่า เราอยู่ได้เพราะคนอื่น

ธรรมชาติของมนุษย์เป็นแบบนี้
เมื่อเราไม่สมหวังในสิ่งที่เราปรารถนา ก็ย่อมผิดหวัง ย่อมเจ็บปวดเป็นธรรมดา
มนุษย์ต้องมีให้มีรับ คู่กัน เป็นผู้ให้อย่างเดียว ก็อยู่ยาก อยู่ลำบาก
เพราะในเวลาที่ตนเองต้องการรับบ้างก็ไม่มี

หรือเป็นผู้แบมือรับอย่างเดียว ก็ไม่ดี
เพราะถ้าเราคอยแต่จะรับ อีกหน่อยข้างกายเราจะหายไปทีละคนสองคน
สุดท้ายก็เหลือแต่เราคนเดียว ที่ไม่มีใครคบ

เราสามารถพิจารณาตนเองได้ว่า เรามีมิตรแท้หรือไม่
เรามีคนพร้อมจะตายแทนเรา ปกป้องเราหรือไม่
เพื่อนเก่าๆเราที่เคยคบกัน ยังคบหากันอยู่พร้อมหน้าหรือไม่
หรือว่าจากหายไปหมดแล้ว
เหลือแต่เพื่อนใหม่ที่ยังไม่รู้จักเราดีพอเท่านั้น


นี่คือข้อพิจารณาว่าเราเป็นคนอย่างไร

คนเราส่วนใหญ่มักชี้มือไปที่คนอื่นเสมอมักมองไม่เห็นจุดบกพร่องตนเอง
ทันทีที่เราชี้นิ้วไปทางคนอื่น นิ้วมือที่ชี้ไปหาคนอื่นมีเพียงนิ้วเดียวคือนิ้วชี้
ส่วนนิ้วที่เหลือมันชี้เข้าหาตัวเราทั้งสิ้น

หลายคนบ่นว่าเราคบใครไม่นาน
ไม่มีเพื่อนที่พอฝากผีฝากไข้ได้
มันก็อยู่พฤติกรรมของเรา
ว่าเรากำหนดช่วงทางสังคมไว้ถูกต้องหรือไม่
บางทีเราล้ำเส้นเกินไปก้าวเข้าไปถึงพื้นที่ส่วนตัวเขา เขาก็ไม่ชอบเรา


ทุกคนจะมีพื้นที่ส่วนตัว ว่าตรงไหนได้ ตรงไหนไม่ได้
เมื่อเราไม่ระวังตรงนี้ มันก็จบ

เพื่อนก็มีหลายระดับ
เช่นเพื่อนที่โตมาด้วยกัน อาจสนิทกันบ้างไม่สนิทกันบ้าง
เพื่อนกลุ่มนี้มักอยู่ที่บ้านเกิด สุดท้ายก็แยกย้ายจากกันตามวิถีทาง

เพื่อนในโรงเรียน เพื่อนกลุ่มนี้ก็คบกันแบบหลวมๆ
ต่างคนต่างหาประโยชน์จากกันและกันเมื่อจบแล้วก็จากเช่นกัน
เพื่อนในที่ทำงาน
เพื่อนกลุ่มนี้ก็เช่นเดียวกัน
ต่างคนต่างโตแล้วมาเจอกัน เพื่อนกลุ่มนี้สัมพันธ์ก็ไม่ยั่งยืนด้วย
เพื่อนบ้าน
เพื่อนกลุ่มนี้มีลักษณะถาวร
ถ้าเรารู้จักคบรู้จักวางตัวให้ดี เราจะได้เพื่อนที่เราวิ่งหาได้ยามเดือดร้อนจำเป็นฉุกเฉิน

แต่ให้เราสำนึกเสมอว่า เพื่อนไม่ว่ากลุ่มไหน
ก็ไม่มีใครที่จะเป็นผู้รับหรือผู้ให้อย่างเดียว
ถ้าเพื่อนคนไหนรู้สึกอย่างนั้น
ความอึดอัดจะเกิดขึ้นและกระทบความสัมพันธ์ในที่สุด


ดังนั้นระยะห่างทางสังคมจึงเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด
ในการรักษาเพื่อนทุกระดับให้อยู่กับเราไว้

ทางวาทศาสตร์เพื่อการสื่อสารจัดระยะทางสังคมไว้ดังนี้
ระยะส่วนตัว
ระยะใกล้ชิด
ระยะสาธารณะ

ซึ่งแต่ละระยะก็จะมีระยะย่อยๆซ่อนอยู่ในนั้นอีก
เราต้องระวังจุดนี้ ทั้งภาษากาย ภาษาพูด ภาษาใจ
ต้องไม่ล้ำเส้นของแต่ละระยะ เช่น


เรามีเพื่อนชื่อดำ
เราก็พูดคุยหยอกล้อ ไม่ระวังคำพูด หลุดพ่อหลุดแม่ออกมา
หรือสนิทกันถึงขั้นล่วงเกินของใช้ส่วนตัว เช่นโทรศัพท์
กระเป๋าสตางค์ ของใช้ส่วนตัวอื่น
จนดำสูญเสียความเป็นตัวเอง ในที่สุด ดำก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันตนเองขึ้นมา
 เพราะรู้สึกว่า ไอ้คนนี้ยิ่งคบยิ่งลามไม่มีที่เกรงใจ
สุดท้ายก็ระเบิดออกมา

ภาษาพูดคนเรามันใช้พูดกับคนทุกคนโดยคำๆเดียวกันไม่ได้
มันต้องดูสถานทางสังคมของคนนั้นด้วย หรือเรากับเขามีความต่างกัน เช่น
เราอาจชอบพูดทะลึ่งตึงตัง แต่คนที่เราจะพูดด้วยเขาไม่ชอบอย่างนี้
หรือการศึกษาเราน้อยกว่าเขา เขาก็มองได้ว่าเราไม่ให้เกียรติเขาเป็นต้น
ดังนั้นคำพูดภาษากายต้องใช้ให้ถูกคน

และพึงระวังตนไว้เสมอ
อย่าถึงขั้นเล่นหัวเล่นหาง
เพราะเมื่อใดความสัมพันธ์เดินถึงขั้นนั้น ขั้นต่อไปก็แตกอย่างเดียว
จะไม่มีใครชอบอย่างนั้นแม้แต่ตัวเราเอง

การวางตัวเป็นเรื่องสำคัญ
ไม่ใช่คบใครก็ทำเหมือนกันทุกคนเข้านอกออกในไปทั่ว
อย่างนี้ก็พังเช่นกัน
มันต้องรู้ว่าตรงนั้นพื้นที่ส่วนตัว
ตรงนั้นเป็นดินแดนแห่งสิทธิ ที่เราไม่ควรก้าวล่วง
ให้เกียรติกัน ดูแลกัน เหมือนยังคบกันใหม่
แต่ผ่านมา 10 ปีก็ยังคงมีความรู้สึกปฏิบัติอย่างนั้นอยู่นั้นแหละคุณวางตัวถูกต้อง
และอย่าเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว และอย่าให้ใครรู้สึกว่าเขาให้อย่างเดียวเช่นกัน
เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของ การจบความสัมพันธ์นั่นเอง





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น