ยินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับคนใจช้ำที่ถูกย่ำยีมาไม่ว่าคุณจะเป็นใครเราคือเพื่อนกัน

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

ไดอารีสีดำ11





รุ่งเช้าถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงกรุงเทพ
เมืองฟ้าเมืองสวรรค์ 
เมืองที่ใครต่อใครหลงใหล และใฝ่ฝัน 
ผู้คนมากมาย เดินไปเดินมา ดูสับสนวุ่นวายยิ่งนัก

เราตั้งหลักอยู่ที่หัวลำโพงพักใหญ่
เราจึงได้เดินออกมาจากหัวลำโพงไป

รถลา ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก มากกว่าบ้านเรานิดหน่อยเท่านั้นเอง
เรายังสังเกตเห็นภาพของผู้คนยังนอนระเกะระกะ อยู่ข้างทางใกล้ๆหัวลำโพงอีกมากมาย
คนพวกนี้คงเป็นคนที่เข้ามาแสวงโชคเช่นเดียวกับเรา

เราเดินไปถามทางแม่ค้าที่ขายของละแวกนั้นว่าซอยหลังสวนไปทางไหน
แม่ค้าบอก ห่างจากนี้ก็ไม่ไกล อยู่ติดกับสวนลุม แม่ค้าบอก เรียกแท็กซี่ไปก็ได้ แม่ค้าบอก


เราก็กล่าวขอบคุณ
เราตัดสินใจเรียกรถแท็กซี่ ตกลงราคากัน คนขับแท็กซี่บอก ว่า 200 บาท 

เราคิดอยู่ในใจว่าทำไมมันแพงจัง เมื่อครู่เห็นแม่ค้าบอกมันไม่ไกล

ก็เลยต่อรองราคากับแท็กซี่

แต่แท็กซี่บอก ที่นี่มันกรุงเทพไอ้น้อง จะไปแท็กซี่มันก็ต้องแพงหน่อย
 ไม่งั้นเองต้องไปรถเมล์โน้น 
พร้อมกับชี้้ไปที่ป้ายรถเมล์ที่มีคนยืนรอมากมาย

เรากล่าวขอบคุณครับแล้วกำลังจะเดินไป

แท็กซี่คนดังกล่าว คว้ามือเราไว้
แล้วพูดบอกว่า 80 บาทไปไหม ไม่ต้องรอรถเมล์ให้นาน

เราตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่ไป
ในใจเราก็คิดว่าเมื่อกี้เรานั่งรถไฟมาจากขอนแก่นทั้งคืน เสียค่ารถแค่ 79 บาทเอง
ตอนนี้นั่งแท็กซี่ เสียตั้ง 80 บาท แต่ก็เอาเถอะ

พอขึ้นรถ แท็กซี่ก็ชวนคุย เคยมากรุงเทพไหม
เราตอบไม่เคย เพิ่งมาครั้งแรก เราไม่รู้ว่าแท็กซี่พาไปไหนบ้างเพราะเราไม่รู้จักมักคุ้นทางเลย
แต่นั่งแท็กซี่อยู่ตั้งนานก็ไม่ถึงซักที 
เราถามแท็กซี่ว่าอีกไกลไหมครับ

แท็กซี่บอกถึงเมื่อไหร่จะบอก
เราก็นั่งเงียบต่อไปอีกตั้งนาน มองเห็นต้นไม้ คงจะเป็นสวนลุมตามที่แม่ค้าบอก
ดีใจคิดว่าคงถึงแล้ว 
พอรถวิ่งใกล้เข้าไป ป้ายมันเขียนว่า สวนจตุจักร

เรารีบบอกแท็กซี่ นี่มันไม่ใช่สวนลุมนี่ครับพี่
แท็กซี่จอดข้างทาง ที่นี่สวนจตุจักร สวนลุม ต้องอยู่โน้นถนนพระราม 4 โน้น
จ่ายตางค์มา 200 แล้วก็ลงไป

เราตกใจ
เอ้าแล้วงี้พี่ก็หลอกผมนะสิ ผมไม่จ่ายตางค์พี่หรอกตั้ง 200
แล้วพามานอกทางด้วยแบบนี้เป็นไงก็เป็นสิ
เราขึงขังเอาจริง ถึงแม้เราจะอายุน้อยกว่า
แต่ถ้าวัดตัวแล้วเราสูงประมาณ 175 เซนติเมตร ตัวโตกว่า
คนขับแท็กซี่มากมาย

เองนี่มันเรื่องมากจริงๆว่ะ จ่ายมาแล้วก็ลงไป แท็กซี่ย้ำด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
เราก้าวขาลงจากรถ พร้อมบอกแท็กซี่ว่าผมจะไปแจ้งตำรวจแถวนี้ก่อน
แท็กซี่คว้าแขนเราอีกครั้ง พร้อมกับพูดสำทับว่า อย่านะโว๊ย แกอยากมีเรื่องเหรอ
ผมไม่อยากมีเรื่อง ผมอยากไปซอยหลังสวน ถ้าพี่พาผมไปผมก็จ่ายเงิน มันก็จบ
แต่นี่พี่พาผมมาสวนจตุจักร พี่นั้นแหละอยากมีเรื่อง เราทำท่าขึงขัง

ก็ได้ก็ได้ๆๆ งั้นเองจ่ายมา 80 บาท เท่าเดิม แท็กซี่บอก
80ผมก็ไม่จ่าย ผมจะเสียเงินโดยไปไม่ถึงเป้าหมายไม่ได้
งั้น 50 จ่ายมา แท็กซี่บอก

เราก็เลยตัดความรำคาญ ถือว่าซวยไปยอมจ่าย 50 บาทให้แท็กซี่ไป
แล้วก็เดินไปนั่งที่ริมรั้วสวนจตุจักร หาทางกลับไปสวนลุม ต่อไป

เริ่มต้นวันแรกของชีวิตใน กรุงเทพ ก็ได้เจอกับความไม่ประทับใจเข้าเสียแล้ว
เลยทำให้เรามีความรู้สึกแย่ตั้งแต่เช้าของวันแรกในกรุงเทพ

เรานั่งคิดอยู่ว่าจะไปต่อยังไงดี
เริ่มมีความไม่ไว้วางใจผู้คนในเมืองหลวงแห่งนี้เสียแล้ว
เรานั่งคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินใจ สะพายกระเป๋าเสื้อผ้าเดินเตร่มันไปเรื่อย
เจอร้านรวงที่ไหนก็ยกมือไหว้สอบถาม ของานเขาทำไปทั่ว
เดินท่องอยู่ทั้งวัน โดยที่ไม่รู้ว่าขณะนี้ตัวเองอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพ
จนเวลาเริ่มค่ำลง

เราเดินไปขอใช้ห้องน้ำห้องส้วมในปั๊มน้ำมัน 
ก่อนจะเดินกลับออกมา
โดยที่ในใจก็คิดว่าค่ำคืนนี้เราจะหาที่หลบพักหลับนอนตรงไหนอย่างไรดี
เดินห่างจากปั๊มมาไม่ไกลนัก ก็เห็นซากรถที่เกิดจากอุบัติเหตุ 
ที่เขานำมาจอดกองรวมกันไว้อยู่หลายสิบคัน
บางคันเป็นรถเก๋ง บางคันเป็นรถกระบะ
บางคันต่อเป็นสองแถว มีเบาะมีที่นั่ง 
 จอดอยู่ เรียงราย
เราหยุดมองดูตรงที่รถสองแถว
ในใจก็คิดว่า มีเบาะยาวด้วย มีฝุ่นนิดหน่อย
ถ้าเช็ดปัดซักหน่อยก็คงจะพออาศัยหลับนอนพอข้ามคืนไปได้
ว่าแล้วเราก็ตัดสินใจก้าวขาขึ้นไป หาเศษผ้ามาเช็ดทำความสะอาดเบาะ
ปากเราก็พูดไปว่า คืนนี้ขออาศัยนอนตรงนี้ซักคืนนะ
เช็ดเสร็จ เราก็นำกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมาวางไว้
ทำเป็นหมอนหนุนหัวเอนหลัง
 พร้อมกับหยิบสมุดพกนำมาจดบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้
ตามปกตินิสัยที่เคยทำมา


ดูนาฬิกาตอนนี้เวลาก็เริ่มเข้าสี่ทุ่มแล้ว 
รู้สึกปวดเมื่อยแข้งขาไปหมด นอนไม่หลับ
นอนมือก่ายหน้าผากมองเห็นแสงไฟนวลๆอยู่ไกลๆออกไป 
นานๆรถจะวิ่งผ่านมาซักคัน
ส่วนผู้คนไม่มีผู้ใดเดินผ่านมาทางนี้เลย 
คงจะทำให้หลับได้สบายใจได้บ้าง
เราคิดไปเพลินๆก็ผล็อยหลับไปตั้งแต่ไหร่ไม่รู้ได้
มาตกใจตื่นขึ้นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงคนส่งเสียงร้องเอะอะวุ่นวายดังเข้ามาในหูชัดเจนขึ้น
เราตกใจ รีบลุกขึ้นนั่ง สังเกตดูซ้ายขวาหน้าหลังบริเวณรอบๆ
ก็ปกติดีไม่เห็นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น 
เราก็ล้มตัวลงนอนต่อ
พอหลับไปได้อีกซักพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมดังเข้ามาในความรู้สึกอีก
และคราวนี้รู้สึกว่าเหมือนจะมีใครมาเขย่ารถที่เรากำลังนอนอยู่
เราได้สติลุกขึ้นมาอีกครั้ง ก็ไม่เห็นมีอะไรเหมือนเดิม
ก็เลยคิดว่าคงฝันไป


ดูนาฬิกาที่ข้อมือก็เข้าตีสองกว่าแล้ว
เราตัดสินใจเอนหลังลงนอนอีกครั้ง 
ก็ตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงวุ่นวายของผู้คนอยู่เช่นเคย
เรานั่งคิดอยู่ ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจ
ลงจากรถ เก็บข้าวของ 
เดินกลับมาที่ปั๊มน้ำมันเดิมที่เรามาขอเข้าห้องน้ำเมื่อช่วงเย็นอีกครั้ง 
ที่ในปั๊มก็เปิดไฟพอมองเห็นสลัวๆไม่กี่หลอด
มีพี่คนหนึ่งที่เราจำหน้าได้แต่ตอนเย็น นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ส่วนอีกคน
นั่งฟุบอยู่กับโต๊ะ คงจะกำลังหลับได้ที่
เราเดินเข้าไปหาพี่คนนั้น
พี่ครับผมขออาศัยนอนที่ปั๊มซักคืนนะครับ เราเอ่ยปากขอ
พี่เขามองหน้าได้สิๆดีเลยจะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน 
พี่เขาอนุญาตพร้อมกับบอกว่าเดี๋ยวพี่จะไปหยิบเสื่อมาให้ปูนอน
ว่าแล้วพี่เขาก็เดินไปหลังปั๊มและเดินกลับออกมา ในมือถือเสื่อมาผืนหนึ่ง

เอาน้อง นี่เลย ปูนอนใกล้นี่แหล่ะ ช่วงดึกอย่างนี้ไม่ค่อยมีรถหรอก
แต่ตอนเช้าน้องต้องรีบตื่นหน่อยนะ พี่เขากำชับ
ครับพี่เรารับปากพร้อมกับปูเสื่อ ล้มตัวลงนอน


มาจากไหนล่ะ พี่เขาถามต่อ
ผมมาจากขอนแก่นครับ
เอ้อ..ดีดี คนบ้านนอกเหมือนกัน 
มาหางานทำเหรอ พี่เขาถามต่อ
ก็ไม่เชิงหรอกครับ 
ผมมาตามหาแฟนที่มาเรียนอยู่ในกรุงเทพ
กะว่าจะมาหางานทำงานไปด้วยพอได้อยู่ใกล้ๆกันครับ เราตอบพี่เขาไป

แล้วมาไงนี่ พี่เขาชวนคุยต่อ
ผมนั่งรถไฟมาจากขอนแก่น มาลงหัวลำโพง กะว่าจะไปต่อที่ซอยหลังสวน
เรียกรถแท็กซี่ แต่แท็กซี่กลับพาผมมาปล่อยไว้ที่สวนจตุจักร เสียเงินฟรีตั้ง 50บาท
ผมเลยตัดสินใจเดินเตร่มาเรื่อยของานเขาทำมาทั้งวัน
จนมาถึงปั๊มพี่เมื่อตอนเย็นครับ เราอธิบาย

เออ..ไม่น่าทำกันเนาะ คนจนด้วยกันแท้ๆ
แล้วเมื่อกี้ไปไหนมาล่ะ พี่ถามต่อ
ผมออกจากปั๊มพี่แล้วก็เดินไปที่ตรงที่ซากรถที่จอดอยู่ และก็ไปนอนบนรถสองแถว
แต่พอผมหลับก็มีแต่เสียงคนร้อง เอะอะโวยวาย เจี๊ยวจ๊าวเหมือนเกิดเรื่อง
จนผมผุดลุกผุดนั่งอยู่ตั้งสามครั้งจนเดินกลับมาหาพี่นี่ครับ
พี่คนนั้นหัวเราะ
เรานี่มันก็บ้าเหมือนกันเนาะ
คิดยังไงไปนอนบนรถที่เกิดอุบัติเหตุมีคนตาย
คนแถวนี้ พอค่ำมายังไม่มีใครกล้าเดินผ่านตรงนี้ด้วยซ้ำ พี่เขาบอกเล่า

ทำไมล่ะพี่ เราถามด้วยความสงสัย

ก็ผีสิ 
เขากลัวผี
เคยมีคนเห็นคนเดินเข้าออกและหายไปในสุสานรถนั้นตลอด 
แถมยังเคยได้ยินเสียงสตาร์ทเครื่องรถด้วยดึกๆดังลั่นเลย พี่คนดังกล่าวบอกกับเรา

เอ้าเหรอครับ ..ผมไม่ได้คิดอะไร
แค่ต้องการหาที่หลบพักล้มตัวนอนเท่านั้นพอให้ข้ามคืนไปไดก็พอ
เราอธิบายให้พี่ฟัง


โดนเข้าแล้วไอ้น้องเอ๊ย พี่ชายคนนี้พูดพร้อมหัวเราะเบาๆ

เออพี่ครับผมขอถามพี่หน่อยพี่รู้จักซอยหลังสวนไหมครับ เราถามพี่เขา
ไม่รู้หรอก พี่มากรุงเทพก็มาอยู่ที่นี่เลยไม่เคยไปไหนไกลเหมือนกันรู้ก็แต่เฉพาะแถวนี้เท่านั้นแหละ พี่ตอบ

งั้นแล้วตอนนี้พี่ช่วยบอกผมหน่อยว่าผมอยู่ตรงไหนของกรุงเทพครับ เราถามด้วยความอยากรู้
ตรงนี้เขาเรียกว่าสามเสน พี่ตอบ
แล้วสามเสนมันคือกรุงเทพหรือเปล่าครับ เราถามต่อด้วยความอยากรู้
สามเสนก็คือกรุงเทพนั้นแหละ แต่มันอยู่รอบนอกของกรุงเทพ 
ตรงโน้นคือสถานีตำรวจ ใกล้กันกับสุสานรถนั่นแหละ
ถ้าผมจะเข้าในเมืองผมจะเดินไปทางไหนครับ เราขอให้พี่เขาชี้ทาง
ก็เดินย้อนกลับ ที่น้องเดินมานั้นแหละ 
โน้นแหละเดินไปทางโน้นตรงมันไปเรื่อยๆทางโน้นแหละคือในเมือง
ไปตรงโน้นก็ถามคนไปเรื่อยๆทางอยู่กับปากเรานะน้องนะ
เอ้า ..นอนเถอะ พี่ชวนคุยมากพอแล้ว เช้าค่อยว่ากัน พีพูดตัดบทเพื่อให้เราได้นอน

พอเช้าเราก็รีบตื่นม้วนเสื่อคืนพี่เขาไป พร้อมกับขอบคุณพี่เขาที่ได้กรุณาให้อาศัยหลับนอน
และขอเข้าห้องน้ำอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปเผชิญโชคชะตาอีกครั้ง
หลังจากลาพี่เขาแล้วเราก็เดินออกจากปั๊มน้ำมัน
มุ่งตรงเข้าไปในเมืองตามที่พี่เขาบอก
เจอร้านรวงที่ไหนก็ยกมือไหว้ของานเขาทำเรื่อยไป
ก็ไม่มีที่ใดรับ อ้างว่าคนเต็มบ้าง
งานน้อยบ้าง ตามแต่ว่าใครจะปฏิเสธได้อ่อนโยนกว่ากัน
เราก็เดินของเราไปเรื่อยจนเหนื่อย 
มองหาอาหารใส่ท้องซะหน่อยไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว
แวะหาซื้อข้าวเหนียวหมูย่างมานั่งกินริมทางข้างคลองน้ำ แต่ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน
พอเติมอาหารใส่ท้องเสร็จเราก็ออกเดินต่อไป
ในใจก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง วริญญา หญิงคนรัก
ป่านนี้เธอคงกำลังรอการมาของเราอยู่เป็นแน่แท้
แต่เธอรู้มั๊ยคนดี สองวันที่ผ่านมาทิวเจออะไรมาบ้าง
ที่นี่มันไม่เหมือนบ้านเราจริงๆนั้นแหละ
ผู้คนที่นี่แม้จะอาศัยอยู่กันอย่างแออัดเบียดชิดติดกัน
แต่เขากลับไม่รู้จักกัน ไม่สนิทสนม สนทนากัน เหมือนสังคมบ้านเรา
ที่อยู่ห่างกันแต่กลับมีใจใกล้ชิดกันมากกว่า
คิดไปเดินไป

เราเดินไปเดินมาจนมาโผล่ที่มีผู้คนมากมายแห่งหนึ่ง
ถามคนแถวนั้นเขาบอกว่าเป็นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
เราหยุดนั่งพักอยู่แถวนั้นเพียงครู่เดียว
ก็มีเสียงคนเข้ามาเรียก

น้องๆๆ

เราหันตามเสียง 
ก็เห็นผู้ชายร่างกรำยำคนหนึ่งหนวดเฟิ้มเดินเข้ามา
และมานั่งลงใกล้ๆกับเรา
มาหางานทำเหรอ เห็นถือกระเป๋ามาด้วย ชายคนนั้นถาม
เปล่าครับผมมาหาคน เราตอบเลี่ยงไป
อยากทำงานไหมล่ะน้อง เงินดีนะ ชายคนดังกล่าวพยายามเสนอ
เราก็เงียบไม่ตอบโต้
ชายคนดังกล่าวก็พูดต่ออีกว่า
เมื่อวานนี้พี่เพิ่งพาไปสมัครงานห้าคน
ป่านนี้ได้งานทำกันหมดแล้ว
ลูกผู้ชายเรามันก็อย่างนี้แหละ
ตอนหนุ่มๆแน่นก็ต้องรีบสร้างฐานะไว้ให้มั่นคงแก่ตัวมาจะได้ไม่ลำบาก
จะหางานในกรุงเทพ มันไม่ยากหรอกน้อง แต่มันต้องมีคนรู้จักพาไปฝาก
ไม่งั้น เดินทั้งวันก็ไม่มีใครรับหรอกเขาไม่ไว้ใจ ชายคนดังกล่าวชี้แจงและอ้างเหตุผลสารพัด
เราก็นั่งฟังไม่ได้ตอบอะไร
แต่ชายคนดังกล่าวก็ยังไม่หยุด
ยังพูดต่ออีกว่า ถ้าน้องอยากทำงาน
ก็ไปกับพี่ได้นะ ตอนนี้มีเพื่อนรออยู่แล้วหลายคน
น้องเดินไปดูก่อนก็ได้ตรงนี้เอง ค่อยตัดสินใจ

เราจึงพูดขึ้นว่าตรงไหนครับ
ตรงนี้เอง ไปๆจะพาไป
แล้วชายคนดังกล่าวก็พามาตึกแถวแห่งหนึ่ง
หน้าตึกเขียนว่าจัดหางาน
มีคนนั่งรออยู่ข้างในหลายคนทั้งหญิงและชายถูกจัดออกไว้แยกส่วนหญิงชาย
ชายคนดังกล่าวบอกให้เราเข้าไปข้างใน
และตระโกนว่า เจ๊ๆๆ แล้วก็ชี้มือมาทางเรา ก่อนจะบอกเราว่าเดินไปหาเจ๊คุยกับเขาก่อน 
แล้วชายคนดังกล่าวก็เดินออกไป

สักพักก็พาคนใหม่เข้ามาอีก
เราก็พอนึกขึ้นได้นี่คงเป็นสำนักจัดหางาน
แล้วหญิงคนที่ชายคนนั้นเรียกว่าเจ้ก็เรียกเราเข้าไป 
ส่งใบตำแหน่งงานให้อ่านแล้วบอกให้เรากรอกข้อมูลในอีกใบ
เราก็อ่านดู เห็นมีตำแหน่งเสมียน ใช้วุฒิ ม.3 อยู่ด้วย ระบุให้เงินเดือน 3,000 บาท
เราทำงานอยู่ขอนแก่นได้ 1,500 บาท นี่ก็มากกว่ากันครึ่งหนึ่ง ก็น่าลองดู
จึงถามผู้หญิงคนนั้นว่า บริษัทนี้อยู่ที่ไหนครับ

เธอถามกลับว่าน้องสมัครตำแหน่งไหน
เสมียนครับ เราตอบ
อ๋อ บริษัทนี้อยู่รอบนอกกรุงเทพไปหน่อย และเขากำลังขาดคนนะ
ถ้าน้องต้องการเขียนใบสมัครได้เลย ไปวันนี้เลย เขามีที่พักให้ด้วย เธอย้ำ
เราจึงถามอีกว่า แล้วที่นี่เป็นสำนักจัดหางานถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่าครับ
เธอมองหน้า ถูกซิจ้ะเธอ ไม่ถูกจะมาเปิดอยู่กลางเมืองอย่างนี้ได้เหรอจ้ะ
นี่คนที่นั่งอยู่นี่ต่างมีงานแล้วทั้งนั้น เหลือแต่น้องที่มาใหม่ รีบสมัครซะ
จะได้ออกเดินทางพาไปส่งตามที่สมัครเอาไว้ เธอพยายามย้ำ
เรามองซ้ายมองขวาดูคนรอบๆข้างที่นั่งอยู่ นับรวมกันเกือบ 20 คน
จึงตัดสินใจเขียนใบสมัครในตำแหน่งเสมียน แล้วยื่นเอกสารให้กับเธอ
เธอบอกให้นั่งรออีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะมีรถมารับพาทุกคนไปตามที่ที่ได้สมัครงานเอาไว้ 
และเสียค่าสมัครให้เธออีก 100 บาท


เป็นอันว่าเราตัดสินใจจะทำงานก่อน
มีเวลาวันหยุดค่อยหาทางไปพบกับริญในวันหลัง
เรานั่งรออยู่ครู่ใหญ่ก็มีรถตู้ขับเข้ามา สองคัน จอดด้านหน้าสำนักงาน
ผู้หญิงที่อยู่ด้านใน บอกให้ทุกคนลุกออกไปขึ้นรถด้านนอก
เราก็ลุกออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ
ผู้ชายที่ด้านนอก บอกให้ผู้ชายขึ้นคันนี้
ส่วนผู้หญิงขึ้นอีกคันนี้พร้อมชี้มือ
พวกเราก็เดินขึ้นรถแต่โดยดี
เมื่อขึ้นเสร็จชายสองคนเดินเข้าไปคุยกับผู้หญิงที่อยู่ข้างใน
และเราสังเกตเหตุมีการจ่ายเงินให้กัน
แล้วผู้หญิงคนดังกล่าวก็เดินออกมาข้างนอกพร้อมกับชายสองคน
แล้วเธอก็พูดขึ้นว่า ทุกคนรถสองคันนี้จะพาพวกเราไปส่งตามโรงงานตามบริษัท
ตามที่อยู่ที่พวกเราได้สมัครงานเอาไว้ขอให้ทุกคนสบายใจได้
ยินดีกับทุกคนที่ได้งานทำแล้ว
และเธอก็สั่งให้รถออก

รถตู้สองคันวิ่งแยกออกไปคนละทาง
รถตู้ที่เรานั่งมาด้วยวิ่งออกมาได้ครู่ใหญ่เราก็สังเกตเห็นมีรถไฟจอดอยู่หลายขบวน
นี่มันหัวลำโพงนี่ครับ เราพูดขึ้น ชายที่นั่งคู่คนขับมาด้วยก็พูดขึ้นว่า
ใช่แล้วนี่หัวลำโพง เราจะนั่งรถไฟไปกัน
แล้วก็พาพวกเราเดินเข้าไปหัวลำโพง
ชายอีกคนเดินไปซื้อตั๋ว
แล้วพาพวกเราเข้าไปด้านในชานชาลา 
เรานับดูพวกเรามากัน 8 คนบวกคนที่พาไปอีกคนเป็น 9 คน
เราจะไปรถไฟเพราะบริษัทอยู่ชานเมือง จะทยอยส่งทีละคนจนครบนะไม่ต้องห่วง
ชายคนหนึ่งพูด
พร้อมกับบอกว่า พี่คนนี้จะพาพวกเราไปส่ง
ส่วนพี่จะกลับไปรับคนชุดใหม่มาอีก แล้วก็เดินจากไป

ชายอีกคนพาพวกเราเดินเข้าไปในชานชาลา
สักครู่ก็พาพวกเราขึ้นขบวนรถไฟ
จัดหาที่ให้พวกเรานั่งอยู่เป็นกลุ่มใกล้กัน
ชายคนดังกล่าวก็ชวนคุยเพื่อให้พวกเราคลายกังวลใจลงไปเรื่อย
ถามใครมาจากไหนบ้างไปเรื่อยจิปาถะ
พอรถออกไปจากหัวลำโพงสักครู่ใหญ่
ชายคนดังกล่าวก็แจกน้ำให้พวกเราดื่มกันคนละขวด
พร้อมชวนคุยไป

หลังจากดื่มน้ำเข้าไป 
จากนั้นเราก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไรอีกเลย

มารู้สึกตัวเมื่อมีคนมีร้องเรียกให้ตื่นพร้อมมือตบไหล่แรงๆ
เราได้สติลืมตาขึ้นมาพร้อมเพื่อนที่มาด้วยกัน
เขาสั่งให้เราลงจากรถไฟพร้อมบอกว่าถึงแล้ว

พวกเราก็ลง
เราสังเกตที่ป้ายสถานีรถไฟมันเขียนว่า
เป็นสถานีรถไฟโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี
เราตกใจ พร้อมถามชายคนดังกล่าวว่า
พี่ครับทำไมพาพวกผมมาที่ปัตตานีล่ะที่ตกลงกันไว้มันไม่ใช่อย่างนี้นี่ครับ

ชายคนดังกล่าว
ขู่ตะคอกด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตรเหมือนตอนแรก
เองไม่อยากเป็นปุ๋ยอยู่ที่นี่ก็เงียบปากเองซะแล้วตามมาดีๆ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรากันแน่นะถึงได้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดถึงเพียงนี้
จะมาตามหาคนรักที่ซอยหลังสวนก็ถูกแท็กซี่พาไปที่สวนจตุจักร
ตัดสินใจสมัครงานกะจะได้งานทำ ก็ถูกพามาที่ปัตตานี
เราครุ่นคิดอยู่ในใจ อะไรก็ตามที่กำลังจะเจออยู่ข้างหน้ามันไม่ดีแน่สำหรับเรา
และพวกเราทั้ง 8 คนที่ต้องมาเผชิญชะตากรรมเดียวกันในเวลานี้
เมื่อชายคนที่พามาจากกรุงเทพพาพวกเราลงจากรถไฟ
ก็พาพวกเราเดินตรงเข้าไปในถนนแคบๆด้านหลังสถานีรถไฟโคกโพธิ์
ที่นั่นมีรถกระบะสองแถวใส่หลังคาต่ำๆพอนั่งก้มหัวได้ไม่เต็มที่นัก
มีผู้ชายอีกสองคนรออยู่ที่รถ พวกเขาก็ทักทายพูดคุยกันอยู่ซักพัก
ชายคนที่พามาก็บอกพวกเราว่า 
พวกแกไปกับพี่สองคนเดี๋ยวเขาจะพาไปต่อ 
ทำตัวดีๆกันล่ะ

โดยเฉพาะเอง ชายคนที่พามาจากกรุงเทพพูดกำชับพร้อมชี้มือมาทางเรา
แล้วชายคนดังกล่าวก็เดินกลับไปที่สถานีรถไฟโคกโพธิ์ 
ปล่อยให้พวกเราอยู่กับชายอีกสองคนที่มารออยู่กับรถ
ชายทั้งสองคนไล่พวกเราขึ้นรถ
แล้วพวกเขาก็พาขับรถออกไปจากสถานีรถไฟโคกโพธิ์
เราพยายามมองและสังเกตข้างทางทั้งสองฝั่ง
บอกเพื่อนๆที่มาด้วยกันว่าพวกเราคอยจำทางไว้นะว่ามันพาเราไปที่ไหน
ทุกคนต่างก็หันหน้าออกสองข้างทางคอยมองอ่านทุกข้อความที่ผ่านตาที่ทุกคนเห็น

อำเภอหนองจิก
อำเภอหนองจิก เราบอกเพื่อน
ตอนนี้เราอยู่อำเภอหนองจิก
แต่รถก็ยังวิ่งไปเรื่อยโดยไม่ได้หยุดด้วยความเร็วมาก
รถวิ่งไปเรื่อยจนเรามองเห็นเสากระโดงเรือแต่ไกลมากมาย
แล้วรถก็จอด และเรียกให้พวกเราลงไป

มันคือสะพานปลา ปัตตานี
เราพูดกับเพื่อนก่อนจะลงรถพร้อมชี้ให้เพื่อนดูป้ายที่เขียนไว้
แล้วทั้งสองก็พาเราเดินเข้าไปภายในสะพานปลา

เห็นผู้หญิงใช้ผ้าคลุมศีรษะมากมายกำลังนั่งเรียงรายเป็นแถวยาว
หลายแถวนั่งเลือกปลาหยิบปลาโน่นโยนใส่ตะกร้านั้น
หยิบปลานั้นโยนใส่ตะกร้านี้ด้วยความคล่องแคล่วว่องไว
และจะมีรางไม้ทำเป็นสะพานเอียงลาดลงมา เรามองขึ้นไปตามปลายสะพานอีกด้านหนึ่ง
ปรากฏว่ามันเชื่อมต่ออยู่กับเรือหาปลาที่จอดทอดสมออยู่
มีชายหนุ่มร่างกรำยำไม่ใส่เสื้อ สวมกางเกงชาวเล
ตักปลาจากเรือใส่ตะกร้าพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมส่งให้กันเป็นทอดๆ
ไสตะกร้าไล่ลงมาที่สะพานตรงที่พวกผู้หญิงที่ใช้ผ้าคลุมหน้าคลุมศีรษะนั่งเลือกปลาอยู่
และก็จะมีคนคอยเข็นตะกร้าปลาที่เต็มแล้วออกไปนำตะกร้าว่างใบใหม่วางใส่เข้าไปแทนสลับสับเปลี่ยนกันอยู่อย่างนี้
ชายสองคนพาพวกเราเดินไปตามสะพานปลา เราก็จะเห็น
เรือประมงจอดเทียบท่านำปลาขึ้นจากเรือ
และมีผู้หญิงโพกผ้านั่งเลือกปลาอยู่ลำใครลำมันตลอดแนวทางที่พวกเราเดินผ่าน
จนมาถึงเรือลำหนึ่งซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ไม่ได้ขึ้นปลาเหมือนเรือลำอื่น
พอเดินไปถึงชายสองคนก็พาพวกเราขึ้นไปบนเรือหาปลาลำนั้น
พร้อมพูดคุยกับผู้ชายอีกคนหนึ่งที่รออยู่บนเรือ
ชายที่อยู่บนเรือบอก มาเสียทีจะได้ออกเรือจอดแช่อยู่นี่มาสามวันแล้ว
จากนั้นชายสองคนที่พามาก็กลับไปทิ้งพวกเราไว้ที่เรือ
จากนั้นชายคนดังกล่าวบอกลูกน้องบนเรือคนหนึ่งบอกเอาเรือเข้ารับน้ำแข็ง
แล้วพวกเขาก็ขับเรือเข้าไปจอดเทียบท่ามีท่อขนาดใหญ่ต่อมาที่เรือ
มีลูกเรือเข้าไปช่วยกันจับท่อดังกล่าว
ลูกเรือส่วนหนึ่งเปิดฝาตรงพื้นเรือขึ้น
แล้วนำท่อดังกล่าวใส่เข้าไปพร้อมส่งสัญญาณ
ซักครู่เสียงน้ำแข็งวิ่งมาตามท่อลงสู่ท้องเรือซึ่งเป็นห้องเก็บปลาจนเต็ม
จากนั้นชายคนดังกล่าวสั่งลูกน้องเข็นถังแก๊สลงเรือ
เป็นถุงแก๊สหุงต้มขนาดใหญ่สูงเกือบเท่าตัวเรา
เราสูงประมาณ 175 เซนติเมตร
มีถังแก๊สขนาดใหญ่ถูกลำเลียงขนลงเรือเป็นสิบถัง
พร้อมถุงผักเสบียงกรังต่างๆรวมถึงน้ำดื่มถูกบรรจุลงในแกนลอนขนาด30-50ลิตรอีกเกือบ50ถัง
เมือทุกอย่างพร้อมชายคนที่มีอำนาจที่สุดบนเรือก็สั่งให้ลูกน้องออกเรือ

พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเพียงแค่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ
และเรือที่มีลูกเรือรวมเราด้วยก็เกือบ 30 คน ถูกสั่งให้แล่นมุ่งหน้าออกสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ทันที


เมื่อเรือหันหลังให้กับฝั่ง
พวกเราทั้ง 8 คน ต่างยอมรับในโชคชะตา
พวกเรานั่งลงกับพื้นเรือ มองน้ำมองทะเลไปเรื่อย
เราสังเกตเห็นสีน้ำทะเลตรงบริเวณใกล้แนวฝั่งจะมีสีฟ้าสวยงาม
ครั้นพอเรือวิ่งห่างฝั่งไกลออกไป น้ำทะเลกลับเป็นสีคราม ออกจะดำด้วยซ้ำ
แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
เราหันหลังมองย้อนเข้าฝั่ง
เรามองเห็นฝั่งอยู่ไกลลิบๆออกไป
และไกลออกไปเรื่อยๆ จนหายไปลับตา
เวลานี้เรามองเห็นเพียงน้ำทะเลกับท้องฟ้า และเสียงเรือตังเกที่ดังสนั่นหวั่นไหว
เรือมุ่งหน้าตรงออกทะเลกว้างไปเรื่อย
พวกที่มาใหม่มารวมกันที่นี่ เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น
พวกเราลุกขึ้นเดินไปอยู่บริเวณเชิงเสากระโดงเรือที่ชายคนนั้นยืนอยู่

พวกแกทุกคน
ทุกคนที่อยู่บนเรือนี้ต่างมีที่มาและชะตากรรมเดียวกันกับพวกเองทั้งนั้น
คือไม่ถูกจับมาก็ถูกหลอกมาตั้งแต่เด็กตั้งแต่วัยรุ่นทั้งนั้น
ทำไงได้วะงานบนเรือตังเกมันไม่มีใครอาสามาทำหรอกโว๊ย
ดังนั้นให้พวกเองยอมรับชะตากรรมซะ
เขามีค่าใช้จ่ายกับพวกเองคนละ 5,000 บาท
ดังนั้นพวกเองต้องทำงานอย่างน้อย 5 เดือนจึงจะมีอิสระและขึ้นฝั่งได้
ทุกคนบนเรือนี้ ไม่มีเงินเดือน

แต่..
เวลาออกฝั่งเขาจะจ่าย 200 เดี๋ยวพวกแกก็จะได้
และเวลาเข้าฝั่งเขาจะจ่ายอีก 200บาท
ทุกหกเดือนเขาจะมีเงินส่วนแบ่งจากการขายปลาที่พวกเราจับได้มาแบ่งให้
อาจจะ 5 พันบาท หมื่นบาท 2 หมื่นบาท ตามแต่ราคาและปลาที่เราจับได้


การออกเรือแต่ละครั้งจะไม่แน่นอน
ขึ้นอยู่กับปลาที่เราจับได้ เราจะไม่แล่นเรือเข้าฝั่งโดยที่ปลาไม่เต็มลำเรือ
อาจจะ 7 วัน ถ้าโชคดี แย่หน่อยก็ 15 วัน หรือเดือนหนึ่ง หรือมากกว่านั้น
บางที่เกิดเหตุสุดวิสัย เช่นบนฝั่งกำลังมีพายุ เราก็ต้องทิ้งสมอนอนรอกลางทะเล


ฉันเป็นไต๋ก๋ง ใหญ่ที่สุดบนเรือนี้
ส่วนคนนั้นเป็นหัวหน้าพวกแกบนเรือนี้ เรียกตำแหน่งเขาว่า อิคิว ชื่อเอกพวกแกต้องเชื่อฟังเขา
ส่วนคนโน้นเรียกว่าชมพู่ หรือพ่อครัวประจำเรือเรา ชื่อถวิล หรือหวิล
ส่วนคน นั่งอยู่ ไกลๆโน่น เป็นช่างเครื่องประจำเรือ ชื่อไก่
ส่วนคนที่เหลือ พวกเองก็ทำความรู้จักกันเองก็แล้วกัน
ในวันสองวันนี้พวกแกอยู่ระหว่างปรับตัวกับน้ำกับทะเล
ยังไม่ต้องทำงานแต่คอยดูพี่ๆเขาทำไว้
ทางที่ดีพวกแกรีบนอนหลับให้เต็มอิ่มอย่าเดินไปเดินมา
ไม่งั้นอ้วกลากไส้แน่มึง
ทุกคนที่เรือผ่านเหตุการณ์นี้มากันทั้งนั้นมากบ้างน้อยบ้าง
ตามแต่สภาพร่างกายจะปรับตัวได้เร็วหรือช้า
ส่วนห้องน้ำ มองออกไปนอกเรือ นั่นแหละคือห้องน้ำของเรา เดี๋ยวพวกแกก็รู้
ส่วนน้ำอาบ ก็คือนำในแกนลอน แต่อย่าตักอาบ เราต้องเผื่อไว้เผื่อเรือเข้าฝั่งไม่ได้
ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเอา ล้างหน้าแปรงฟันได้ น้ำกินก็อันเดียวกัน
เข้าใจแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
ไต๋ก๋งชี้แจงระบบงานและหน้าที่ของแต่ละคนและการบริหารบนเรือเสร็จ
ทุกคนต่างลุกไป พวกที่อยู่ก่อนพาเดินไปเปิดประตู
ประตูเรือกว้างและสูงประมาณ 50 เซนติเมตรมีแผ่นไม้เข้าล่องเลื่อนปิดเปิดด้านข้าง
พอลอดเข้าไปความสูงของห้องเรือ สูงประมาณ เมตรเดียวพอนั่งเหยียดหลังตรงได้ไม่ดีนัก

เป็นแผ่นไม้เหมือนกันกับตัวเรือ
ข้างในมีของระเกะระกะเกลื่อนกลาดทั้งห่อข้าวห่อของ เสื้อผ้า
ไม่เป็นระเบียบไม่รู้ของใครเป็นของใครพื้นห้องก็ลาดโค้งแอ่นตรงกลาง
ไปตามตัวเรือ

ทุกคนต่างจับจองที่นอนของตัวเอง
นอนสลับหัวสลับขากันไปมาตามความยาวของเรือหมอนซักใบก็ไม่มี
เรามองดูด้านข้างห้องก็คือหน้าต่าง กว้างไม่เกินแขน
สูงประมาณหนึ่งศอกเป็นไม้เข้าล่องเหมือนกันใช้ดึงขึ้นเวลาปิด แล้วก็ดันลงเวลาเปิด
คนทั้งหมดจากที่เรานับมี 32 คนบนเรือลำนี้
มีไต๋ก๋งนั่งบัญชาการอยู่กับ จอเรด้า บนหลังเก๋งคนหนึ่งตามที่เราออกมาจากห้องเดินสำรวจดู
ส่วนอีกสองคนทำหน้าที่ขับเรือสลับสับเปลี่ยนกัน

ใต้ท้องเรือถัดจากห้องที่ใช้นอนลงไป ถูกกั้นเป็นสองห้อง
ห้องหนึ่งเป็นห้องครัว มีพ่อครัวหรือชมพู่ประจำการอยู่ที่นี่ และดูเหมือนจะเป็นห้องพักเขาด้วย
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นห้องเครื่องยนต์มีช่างเครื่องนั่งกำกับประจำอยู่เช่นกัน
ส่วนหัวหน้าคนงานหรือ อิคิว คอยเดินตรวจตรารอบเรืออยู่
เมื่อเราเดินจนทั่วเรือก็กลับไปที่ห้องนอน
เห็นทุกคนกำลังหลับได้ที่ก็มีหลายคนกำลังนอนสูบบุหรี่ในห้องเดียวกัน
พื้นที่นอนเต็มจนหมด เรามองเห็นตรงกลางที่เป็นที่โค้งแอ่นกลางว่างอยู่ไม่มีใครนอน
เราจึงค่อยคลานเบียดคนอื่นเข้าไป นอนเอนหลังลง
แต่เราเหม็นควันบุหรี่มาก นอนไม่หลับ แต่ก็พยายามข่มตา
ซักครู่ใหญ่เหมือนมีอะไรมากระแทกเรืออย่างแรง
คนที่นอนอยู่ด้านข้างต่างกลิ้งไหลมากองทับเราที่อยู่ตรงกลาง
และเป็นอย่างนี้อย่างต่อเนื่องเกือบสิบนาที
เราถามว่าเกิดอะไรขึ้น
พี่คนหนึ่งตอบว่า เรือเจอคลื่นไอ้น้อง เรื่องปกติ
เราถึงนึกขึ้นได้ ว่า อ๋อที่แท้เพราะเหตุนี้นี่เองที่ตรงกลางมันว่างไว้
เราตัดสินใจไม่นอนดีกว่าเพราะนี่ก็เป็นกลางวันอยู่เลย ออกไปข้างนอกดีกว่า
ว่าแล้วเราก็คลานออกมาข้างนอก เดินไปด้วยกลิ้งไปด้วย
เพราะเวลาเรือเจอคลื่นที่ไรเราต้องหกล้มหัวคะมำค่ำหงายไม่เป็นท่า
มันยืนทรงตัวเองอยู่ไม่ได้เลย เราค่อยๆเดินเกาะตัวเรือ
ไปจนถึงด้านหน้าเรือที่มีพี่สองคนทำหน้าที่ขับเรืออยู่ เรายกมือไหว้พร้อมกล่าวสวัสดีครับพี่
ขับเรือยากไหมครับ เราถามด้วยความอยากรู้
ก็ไม่ยากไม่ง่าย ลองไหมล่ะ พี่คนหนึ่งถามกลับ
ด้วยนิสัยอยากรู้อยากลองของเราก็ไม่พลาดโอกาสนี้อยู่แล้ว
เราพูดขอบคุณครับพร้อมเดินเข้าไปยืนประจำตำแหน่งพลขับเรือ
พี่คนที่ขับจับพวงมาลัยตรึงไว้แล้วส่งต่อให้เรา


เรารีบจับพวงมาลัยมันหนักมากโดยเฉพาะยามเจอคลื่น
ผมต้องทำไงบ้างครับ เราร้องถาม
พี่สองคนบอก ก็แค่ประคองมันไว้ตามทิศทางที่ไต๋สั่งลงมา
ซักครู่พี่อีกคนบอกเลี้ยวซ้าย
เราดึงพวงมาลัยมาทางซ้าย
แต่พี่คนดังกล่าวบอก ไม่ใช่ไอ้น้องเลี้ยวซ้าย พี่เขาย้ำ
เราตอบ ไปว่า ผมก็กำลังดึงมาทางซ้ายอยู่ครับ แต่เรือมันดูเหมือนจะออกขวา
พี่คนนั้นหัวเราะ เออกูผิดเองไม่ได้บอกแก เรือจะเลี้ยวซ้ายต้องดึงมาทางขวา จะเลี้ยวขวาก็ดึงมาทางซ้ายตรงข้ามกันว่ะ ลืมบอกไป พี่คนขับเรือพูดบอกกับเรา
อ๋อผมเข้าใจแล้ว จากนั้นเราก็ประคองพวงมาลัยซ้ายที่ขวาทีมันไปเหมือนงูเลื้อย
จนไต๋ก๋งลงมาดู มันเกิดอะไรขึ้นกับเรือวะ เสียงไต๋ตระโกนลงมา
ขณะที่เราก็กำลังยืนบังคับเรืออยู่



ไต๋พูดขึ้นว่า เฮ้ยเองมันเด็กใหม่นี่หว่า ทำไมไม่นอนวะ เดี๋ยวก็ อ้วกหรอกมึงคอยดู
จะขับเรือมันต้องเก็งข้อมือให้แข็งและอย่าให้แขนเข้าไปล่องไม้พวงมาลัยเชียวมึง เจอคลื่นมา
พวงมาลัยตีแขนแกหักแน่ ระวังหน่อย แล้วไต๋ก็กลับขึ้นด้านบนเก๋งเหมือนเดิม


เราคืนเรือให้พี่คนขับประจำเขาทำหน้าที่ต่อ 
ขอบคุณที่ให้โอกาสครับพี่ เราพูดจบก็เดินเกาะเรือไปต่อที่ห้องครัว
เข้าไปนั่งคุยกับชมพู่
มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับผมนอนไม่หลับ
ชมพู่มองหน้า เออดี เข้ามาไอ้น้องเข้ามา
แล้วพี่ หวิลก็บอกเราน้องช่วยนำผักไปล้างแล้วเอามาหั่นนะแล้วพี่จะทำอาหารให้กินกัน
เรามานั่งคุยอยู่กับชมพู่อย่างถูกคอพร้อมกับแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไรมาจากไหน
เราเข้าไปขลุกอยู่ในครัวกับพี่หวิล พ่อครัวประจำเรือ ช่วยจับโน้นหยิบนี่ไปเรื่อยตามที่พี่แกสั่ง
ไม่นานพี่เอก อิคิวหรือหัวหน้างานก็เดินเข้ามาร่วมวงสนทนากับเรา
เราสนทนากันอย่างเป็นกันเองแบบพี่แบบน้อง
จนเตรียมอาหารไว้พร้อมสรรพ

พี่เอกบอกให้เราไปเคาะเหล็กให้สัญญาณเรียกเพื่อนได้เวลาตื่นกินข้าวกันแล้ว
เราดูเวลาก็ได้เวลา 5 โมงเย็น ออกมาแต่เช้า อาหารเพิ่งจะถึงท้องในวันนี้
พอได้ยินเสียงเราตีเหล็กเคาะเรียกทุกคนก็ตื่นนอนลุกออกมา 
หยิบถ้วยชามกันเดินตรงเข้ามาที่ครัว

ชมพู่ให้เราช่วยตักกับข้าวใส่ถ้วยให้ทุกคน
เราก็ทำด้วยความยินดี
เมื่อตักทุกคนเสร็จต่างก็ถือเดินออกไปนั่งกินกันตามที่ต่างๆของตัวเรือตามอิสระ
เราเองก็ตักข้าวใส่จานและราดแกงมาไม่มากนัก
พี่เอกกับพี่หวิลบอกให้เรานั่งกินในห้องครัวด้วยกันนี้แหละ



พอกินกันเสร็จสรรพ
ต่างคนต่างล้างทำความสะอาดจานชามของตัวเอง
มาวางคว่ำตากแดดไว้ที่ตะกร้าหน้าห้องครัว
เราก็ช่วยพี่หวิลล้างหม้อล้างครัว
พักนั่งกันอยู่ได้ซักครึ่งชั่วโมง
พี่เอกสั่งให้ทุกคนไปช่วยกันนำอวนมากางออก
และหารอยขาดและให้ช่วยกันปะซ่อมเสียให้เสร็จ
ทุกคนต่างช่วยกันนั่งทำแกะซากปลาบ้างซากงูบ้างทั้งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง
เราปะอวนไม่เป็นก็ต้องคอยแกะซากออกจากอวนจนคิดว่าสมบูรณ์ดีแล้ว
ก็พับเก็บเพื่อเตรียมไว้ปล่อยเมื่อถึงเวลา
แต่ตัวเราเวลานี้เริ่มท้องไส้ปั่นป่วนคลื่นไส้จะอาเจียนเป็นอย่างมาก
และก็ไม่นาน ก็อาเจียนออกมา และออกจนหมดไส้หมดพุงพร้อมกับเวียนศีรษะอย่างมาก
ประคองตัวไม่อยู่ และอาเจียนจนไม่มีอาหารออกมาแล้ว มีแต่น้ำขมเขียวออกมา
จนขมปาก

ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกันก็มีหลายคนเริ่มมีอาการกระอักกระอ่วน
และสำรอกของเก่ากันออกเป็นแถวอย่างไม่ละเว้นทั้ง 8 คน
แต่ตัวเราดูเหมือนจะหนักกว่าเพื่อนเพราะท้องไม่ยอมหยุดป่วนจะอาเจียนอย่างเดียว
พี่เอกบอกให้ไปนอนพัก ส่วนพี่หวิลหาน้ำอุ่นผสมเกลือมาให้เราดื่ม และก็นอนพัก
ตั้งแต่ตอนนั้นเราทำอะไรไม่ได้อีกเลย หมดเรี่ยวแรง เหนื่อยล้าและขมปาก
เหมือนว่าจะมีไข้ขึ้นเอาด้วย
เรานอนพักผ่อนและหลับอยู่ทั้งคืน ท่ามกลางพี่ๆที่กำลังส่งเสียงดังลั่นเพื่อสาวอวนเพื่อกู้อวนที่ปล่อยไปกลับเข้าเรือ เราดูนาฬิกา เป็นเวลา สามทุ่มเศษ
เราพยายามลุกประคองตัวออกมาจากครัวมานอกเรือ
เห็นพี่ๆกำลังทำงานกันอยู่อย่างพร้อมเพรียง
เรามองไปรอบตัวเรือตามแสงไฟสปอร์ตไลท์ เรือที่ส่องสว่างจ้า เห็นฝูงปลาโลมา
กระโจนน้ำโต้คลื่นอยู่ไม่ห่างจากเรือมากนัก
และเห็นงูทะเลลอยน้ำไปมาอยู่มากมายเราพยายามจะเดินออกไปช่วยพี่ๆเขา ก็ไปไม่ไหวล้มกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่กับพื้นเรือ พร้อมกับคลื่นไส้จะอาเจียนอย่างเดียวจึงกลับไปนอนพักผ่อน
กระทั่งตื่นมาอีกทีประมาณตีสี่ก็ยังเห็นพี่ๆกำลังลากอวนกันอยู่เช่นเดิม
เราเดินออกมาดูเห็นปลามากมายติดอวนขึ้นมาทุกคนช่วยกันดึงขึ้นมาและเทปลาสดๆออกจากอวนลงไปในห้องเก็บปลาใต้ท้องเรือบริเวณเชิงเสากระโดงที่อัดแน่นด้วยน้ำแข็ง
เราช่วยพี่ๆเขาอยู่ได้พักหนึ่งก็เวียนหัวคลื่นไส้อาเจียนอีกจึงกลับไปนอนอีกครั้ง

จนตื่นมาอีกทีเช้าวันใหม่ 
ขณะที่เราตื่น พี่ทุกคนต่างนอนกันเกลื่อนกลาดตามพื้นเรือ
เรารู้สึกเบาตัวขึ้นเดินทรงตัวได้ดีจึงลุกขึ้นไปเดินรอบๆเรือ
เห็นไต๋นั่งเฝ้าจออยู่คนเดียวที่ยังไม่หลับเราจึงเดินเข้าไปคุยกับไต๋อยู่ตั้งนานเกือบชั่วโมง
ก่อนไต๋บอกจะนอนแล้ว เราจึงกลับมาที่ท้ายเรือ
เอนหลังพิงกับถังน้ำมองน้ำ
มองปลาในทะเลและคิดอะไรไปเรื่อย





                                                














วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

ไดอารีสีดำ10


เราจึงลุกเตรียมตัวเข้าทำงานตามปกติ
ทำไมบรรยากาศของเช้าวันนี้มันชั่งหมองเศร้าซะเหลือเกิน
ไม่ว่าจะมองไปทางไหน มันไม่มีความโสภาน่าชื่นชมเอาเสียเลย
จะพูดจะจา สนทนาพาทีกับใคร ก็ขาดรสชาติ
ชีวิตของเราในวันนี้มันไม่ต่างอะไรกับผีตายซาก
มันดำเนินไปเช่นนี้จนถึงเย็น
ได้เวลาเลิกงาน
เราก็ปิดร้านตามปกติ
แต่วันนี้ไม่ได้เดินกลับโกดังเก็บของซึ่งเป็นที่พัก
เพื่ออาบน้ำอาบท่าเหมือนทุกวัน
แต่พอปิดร้านเสร็จ
เราก็เดินตรงออกไปที่สถานีรถไฟ
ไปยืนดูร่องรอยเหตุการณ์ต่างๆที่มันเพิ่งจะเกิดขึ้นและผ่านไปเมื่อคืนนี้
จากนั้นก็เรียกสามล้อตรงไปมอดินแดง
มุ่งหน้าไปยังใต้ต้นสนคู่นั้น ณ ริมบึงสีฐาน
ตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับริญ
ทุกครั้งที่เราเดินมาที่นี่
ภาพเก่าๆที่เราจะได้เห็นก็คือ
ริญจะมานั่งอ่านหนังสือรอเราอยู่ที่นี่ก่อนหน้าแล้วทุกครั้ง
แต่วันนี้เมื่อเราเดินเข้ามา
มองไปใต้ต้นสน
ก็เห็นภาพหญิงสาวนั่งอยู่ใต้เงาสนก่อนหน้าแล้วเช่นกัน
ริญ..เราอุทานออกมา พร้อมกับรีบวิ่งไป
ริญ. เราร้องเรียกหญิงสาวหันมามอง ด้วยความสงสัย
มีอะไรหรือเปล่าคะ เธอถาม
ขอโทษครับ ผมคิดว่าเป็นริญ
ไม่เป็นไรค่ะ
นั่งก่อนสิคะ หญิงสาวเอ่ยปากเชิญ

เรานั่งลง
คุณมาที่นี่บ่อยหรือคะ หญิงสาวถาม
ครับมาบ่อย มาทุกเย็นเลย และก็มานั่งตรงนี้ประจำด้วย เราตอบเธอ
อุ๊ย..!! หรือคะ ต้องขอโทษด้วยค่ะ
นี่แพรวคงเผลอไปนั่งทับที่ใครบางคนเข้าแล้วสิคะนี่ เธอพูด พร้อมกับขยับตัวจะลุกขึ้น
ไม่เป็นไรครับ คุณนั่งไปเถอะ เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว
อ้าว..ทำไมรีบกลับล่ะคะ เพิ่งจะมาไม่ใช่เหรอ
นั่งคุยเป็นเพื่อนแพรวก่อนก็ได้
หรือว่ารังเกียจแพรวคะ เธอตัดพ้อ
ไม่ใช่หรอกครับ
พอดีผมนึกขึ้นได้ว่ายังมีงานค้างอยู่ต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ เราบอกกับเธอ
 แพรวมาเรียน อยู่ใน ม.นี้ค่ะเพิ่งจะปี 1
เป็นน้องใหม่ของที่นี่ เลยยังไม่คุ้นชินสถานที่
เธอพยายามจะชวนเราคุย

อ๋อเหรอครับ ผมชื่อทิว ทำงานเป็นเด็กเฝ้าหน้าร้านส่งของอยู่ละแวกนี้ล่ะครับ เราแนะนำตัวกับเธอ
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณทิว
ถ้าไม่รังเกียจและมีโอกาสก็พาแพรวเที่ยวแถวนี้บ้างนะคะ เธอพยายามยื่นข้อเสนอ

ขอบคุณครับแต่ผมคงไม่สะดวกหรอกครับ
ผมต้องขอตัวกลับก่อนครับคุณแพรว ขอโทษด้วยครับ ว่าแล้วเราก็เดินจากมา
เราเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยไม่มีเป้าหมาย
เจอที่นั่งก็นั่ง
หายเหนื่อยแล้วก็เดินต่อ
จนกลับมาถึงที่พัก
ก็ล้มตัวลงนอน โดยที่น้ำท่าไม่ได้อาบ
เรานั่งคิดนั่งรำพันอยู่คนเดียว
ชีวิตเราออกจากบ้านมา หัวเดียวกระเทียมลีบมาโดยตลอด
จากสารคามมา
มาอาศัยอยู่กับน้าที่ขอนแก่นมาโตที่นี่ คุ้นชินอยู่ที่นี่ ยิ่งกว่าบ้านเกิดเสียอีก
มาทำงานอยู่ที่นี่จนได้พบกับริญ
และเราก็รักกัน
อนาคตของริญ เธอก้าวไปข้างหน้าทุกวินาที
แต่เราสิ หยุดอยู่กับที่
ขณะที่ริญเดินหน้า
เรากลับหยุดอยู่กับที่ซึ่งก็คือถอยหลัง
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป
นับวันเรากับริญยิ่งนับวันจะไกลห่าง
เราไม่ยอมแน่
เราไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้น
เราจะไม่ให้มันเกิดขึ้น
แม้พ่อของริญจะให้เราตัดใจากริญ
แต่สัญญาใจที่เราให้กับริญ
ความรักที่เราทั้งสองมีให้กัน
มันยิ่งใหญ่เกินกว่าสิ่งใด
เราต้องคิดหาทางทำอะไรซักอย่าง
เพื่อที่จะขยับตัวออกจากจุดนี้
แล้วก้าวไปข้างหน้า
ค่อยเดินตามหลังริญไปห่างๆ
อย่างน้อยก็ให้มันอยู่ในระยะสายตา
ที่เราจะยังพอมองเห็นเธอ
และยืนตระโกนคุยกับเธอได้
ไม่ใช่ปล่อยช่องว่างให้มันห่างออกไปอย่างนี้โดยที่เราไม่คิดทำอะไรเลย
ไม่เช่นนั้น รักของเรากับริญคงต้องหลุดลอยไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ป่านนี้เธอจะทำอะไรน๊า..ริญ
เวลานี้เธอกำลังอยู่กับใครกันนะ
เธอจะคิดถึงทิวบ้างมั๊ย
สำหรับทิวคิดถึงริญจนใจจะขาดอยู่แล้ว

ทุกเย็นหลังเลิกงาน
เราก็ยังคงเดินไปที่ริมบึงสีฐาน
อยู่เป็นประจำทุกวันตามปกติไม่เคยขาด
และก็เช่นเคย
เราก็จะมองเห็นร่างของหญิงสาวมานั่งอยู่ก่อนหน้าแล้วทุกวันเช่นเคย
เพียงแต่ไม่ใช่ริญเท่านั้น
แต่เป็นแพรวนักศึกษาต่างถิ่นที่มาเรียนอยู่ที่นี่
เราพยายามจะเดินเลี่ยงหลบ
ไม่เดินเข้าไปบริเวณนั้น
ที่เธอนั่งอยู่
แต่หลายครั้งเธอก็แอบเห็นเรา
และเรียกเราเข้าไปนั่งด้วยอยู่หลายครั้ง
แพรวเธอก็ดูหน้าตาผิวพรรณดี
นิสัยใจคอก็เป็นดีคนหนึ่ง

แต่เธอไม่อ่อนหวานเหมือนริญ
ริญเธออ่อนหวานยิ้มง่ายเป็นธรรมชาติไม่เสแสร้ง
พูดตรงไม่อ้อมค้อมจิตใจงาม
ชั่งเจรจา
ผิวพรรณละเอียดอ่อนเนียนขาวเป็นธรรมชาติที่สุด
ทุกอย่างที่เธอมี มันไม่ได้ปรุงแต่ง
แถมน้ำเสียงของเธอ ใสกังวาน ยิ่งกว่าเสียงระฆัง บุคลิกอ่อนหวาน อ่อนโยน เรียบง่าย
ของเธอ ไม่มีใครเหมือน
และเธอก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่เปิดประตูหัวใจของเราเข้ามาได้ 
ต่างกับเรา
ถ้าไม่สนิทหรือรู้จักมักคุ้น
เราจะไม่คุยด้วยหรือถามคำก็ตอบคำ
คนที่เราไม่อยากรู้จัก
จะไม่มีทางได้รู้จักเรา
เราไม่ใช่คนเก็บตัว
แต่เป็นคนที่ค่อนข้างเลือกคนที่จะคบมากกว่า
แต่ถ้าตกลงได้คบหาแล้ว
ผู้ชายคนนี้ก็มีแต่ความจริงใจ
มั่นคง
ภายในความเงียบขรึมของเรา
มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

นับจากวันที่ริญจากเราไป
ถึงวันนี้ก็ใกล้ครบเดือนแล้ว
ริญยังไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย
ขณะที่เราเฝ้ารอ วันแล้ววันเล่า

วันนี้กลับจากบึงสีฐาน มอดินแดง
ถึงหน้าร้านเกือบสองทุ่ม
เดินผ่านหน้าร้านจะแวะไปโกดัง
เราก็สังเกตว่ามีเสียงโทรศัพท์ในร้านดังอยู่
เราเงี่ยหูฟังจนแน่ใจ
จึงใช้กุญแจไขเปิดร้านเข้าไปเพื่อจะไปรับสาย
พอเราเปิดประตูร้านลอดตัวเข้าไปข้างในได้
โทรศัพท์ก็เงียบเสียงเสียแล้ว คงดังมานานแล้ว เราคิด
เราจึงตัดสินใจนั่งรออีกซักครู่เผื่อโทรมาใหม่
เรานั่งรอไม่ถึงสามนาที
โทรศัพท์ก็ดังขึ้นจริงๆ
เรารีบยกหูรับสาย
สวัสดีครับบริษัทไทยสงวนครับ
ขอสั่งนำอัดลมหน่อยค้าเวลานี้ด่วนเลย เสียงหญิงสาวในสายพูดขึ้นมา
แต่เราปิดร้านแล้วนะครับ เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะไปส่งให้  ทิ้งที่อยู่ไว้ก่อนนะครับ
ไปส่งที่ริมบึงสีฐานนะจ้ะ
ริญ..เราอุทานออกมาด้วยความดีใจสุดขีด เพราะจับน้ำเสียงได้
ริญสบายดีไหม เราถามเธอด้วยความรักและเป็นห่วง

สวัสดีจ้าทิว
ทิวไปไหนมา
ริญโทรมาตั้งแต่ 5 โมงเย็น ก็ไม่มีคนรับสาย
นี่ก็แอบย่ามาโทรด้วยนะจ้ะ
ทิวขอโทษนะริญ
ทิวเพิ่งจะกลับมาจากบึงสีฐาน เราบอกเธอ
เสียงริญเงียบไป
ทิวไปบ่อยไหมจ้ะ เธอถาม
ทิวไปทุกวันเลย เราตอบเธอ
ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไหมทิว เธอถาม
ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ขาดเพียงริญคนเดียวเท่านั้น
สนคู่นั้นก็ยังยืนอยู่คู่กันที่ริมบึงเหมือนเดิม
ทิวไปอยู่ที่นั้นจนมืดทุกวัน
ริญคิดถึงทิวมาก
ริญพูด
แต่น้ำเสียงเธอเริ่มสั่นเครือเหมือนกำลังจะร้องไห้
ทิวจ้ะ ริญเหงามาก
ที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา
นอกจากมหาลัยกับบ้านแล้วริญไม่ได้ไปไหนเลย
จะโทรศัพท์ทีก็ต้องขออนุญาตคุณย่า
ริญคิดถึงบ้าน
ริญคิดถึงทิว
ริญคิดถึงพ่อแม่
คิดถึงบึงสีฐาน
ริญอยากกลับบ้าน ทิว เธอพูดไปร่ำไห้สะอื้นไป
เราเองก็ไม่ต่างจากเธอ
ที่ทั้งดีใจ ทั้งทุกข์ใจ
ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของเธอ
เราเองก็พลอยน้ำตาซึมไปกับเธอด้วย
ริญอยากกลับบ้านทิว ริญอยากกลับบ้าน เธอพูดย้ำหลายครั้ง
แต่ริญต้องอดทนและเรียนต่อให้จบนะ เราบอกเธอ
ริญไม่อยากเรียนแล้วทิว เธอบอก
เราเริ่มใจไม่ดี

ไม่นะริญ ริญต้องเรียนต่อ
เรายังติดต่อกันได้นี่
แม้จะน้อยครั้งลง แต่ใจเรายังอยู่ด้วยกัน เราปลอบเธอ

ริญไม่ต้องกลับ
ทิวจะไปหาริญเอง เราบอกเธอ
เธอเงียบไปซักครู่
ยังไงนะทิว เธอพูดถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนขึ้น
ทิวตัดสินใจแล้วริญว่าทิวจะลาออกจากงานที่ขอนแก่นนี่เสีย
และจะนั่งรถไฟเข้ากรุงเทพ ไปหางานทำที่กรุงเทพ ไปอยู่ใกล้ๆริญ 
เราพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ทำไมล่ะทิว ทิวออกไปทิวก็ต้องไปนับหนึ่งใหม่นะจ้ะ เธอให้ข้อคิด
นั่นแหละริญที่ทิวต้องการ
ทิวต้องการนับหนึ่งสองสามสี่ห้าไปเรื่อย
ไม่ใช่หยุดเป็นศูนย์อยู่อย่างทุกวันนี้
ริญคิดดูนะ ถ้าทิวยังอยู่ที่นี่ก็คงเป็นได้แค่เด็กส่งของเฝ้าร้านอยู่วันยังค่ำ
ขณะที่อายุเรายังน้อยอยู่
ทิวอยากลองไปเสี่ยงโชควัดชะตาตัวเองดูบ้าง
เผื่อบางทีโชคเข้าข้างเรา
อาจจะทำให้เราได้ยืนเคียงข้างกันอย่างไม่สะท้านอายก็ได้นะริญ เราอ้างเหตุผลกับเธอ

แต่ริญไม่เคยรังเกียจทิวเลยนะ เธอย้ำ
ทิวรู้ทิวเข้าใจ แต่คนเราต้องเดินไปข้างหน้า
ทิวจะไม่ยอมให้อนาคตของตัวเองหยุดอยู่เพียงเท่านี้แน่ริญ
ทิวจะต้องยกตัวเองขึ้นไปหาริญให้ได้ เพื่อทิวจะได้มีโอกาสแต่งงานอยู่กินกับริญอย่างสมฐานะ
เราย้ำเหตุผลให้เธอฟัง
ริญเงียบเสียง
งั้นริญก็ขอให้ทิวประสบความสำเร็จนะจ้ะ ริญขอให้กำลังใจทิว ทำให้ได้นะทิว
ริญจะรอวันนั้น แล้วทิวจะมาเมื่อไหร่จ้ะ เธอถาม

สิ้นเดือนนี้ทิวจะไปลาเฮีย เขาออก จากนั้นจะแวะไปหาน้า
แล้วจะขึ้นรถไฟลงกรุงเทพคืนนั้นเลย
เมื่อไหร่ที่ทิวได้งานและทุกอย่างลงตัวแล้วทิวจะไปตามหาริญให้ถึงบ้าน
ตกลงไหมริญ เราให้คำมั่น
จ้าทิว ริญจะรอ 
แล้วเราก็คุยเรื่องหัวใจกันอีกจิปาถะ
สมควรแก่เวลาก็วางสายไป



เมื่อเราได้ตัดสินใจแน่แน่วแล้วว่าจะลาออกจากงาน
และเดินหน้าเสี่ยงโชคเผชิญกับชะตาของตัวอีกสักครั้ง
เช้าวันต่อมาเราก็เข้าไปหาเฮียเจ้าของร้านเพื่อขอลาออก


ลื๊อจะออกไปทำไมวะ เฮียหลงซิง พูดขึ้นมา
แล้วเฮียจะไปหาคนที่ไหนมาแทนลื๊อได้ทัน
หน้าร้านก็มีเพียงลื๊อคนเดียว
นอกนั้นเขาก็เป็นชุดขายของเขาที่ไปกับรถกระบะไปเร่ขายส่งข้างนอก
เขาลงตัวเขาแล้วไปดึงมาก็ไม่ได้ เฮียบอก

ผมต้องขอโทษด้วยครับเฮีย ผมได้คิดดีแล้ว
ผมต้องขอบคุณเฮียที่เมตตาให้ที่อาศัยหลับนอนและให้งานผมทำ
หลายปีที่ผ่านมา 

ผมเพิ่งอายุ18ปีเอง ผมอยากไปเผชิญโลกภายนอกดูบ้าง
ดีกว่าปล่อยชีวิตให้มันหมดไปกับกาลเวลาโดยที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย เราพูดกับเฮีย


แล้วลื๊อ เคยไปกรุงเทพหรือวะ เฮียถาม
ไม่เคยครับ ผมจินตนาการภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันเป็นอย่างไร
แต่ผมก็อาศัยอยู่ในเมืองขอนแก่นมานี่ก็เกือบสิบปีตั้งแต่เด็ก
มีความรู้เกี่ยวกับชีวิตในเมือง ใช้ชีวิตในเมือง
กรุงเทพคงจะต่างจากขอนแก่นตรงที่ใหญ่กว่าเท่านั้นเอง เราสนทนากับเฮีย

เฮียใจหายนะ ลื๊อ อยู่กับเฮียมาสามปีแล้ว ลื๊อเป็นคนดีซื่อสัตย์
มีไหวพริบ มีความฉลาดมุ่งมั่น จนเฮียยอมให้ลื๊อ อยู่กับโกดังสินค้าได้ ออกใบเสร็จเก็บเงินได้
ซึ่งคนงานคนอื่นต้องไปหาที่พักเองข้างนอก ลื๊อก็เห็น เฮียหลงซิงเผย


กราบขอบคุณเฮียมากครับที่เมตตาผม
ผมก็มีความสุขดีที่ได้ทำงานกับเฮีย
แต่ผมก็มีความจำเป็นต้องไปครับ เราย้ำกับเฮียอย่างหนักแน่น


เมื่อตัดสินใจแล้ว เฮียก็ไม่ฝืน อีกสองวันสิ้นเดือนมารับเงินเดือนสุดท้ายของลื๊อ
กับเฮียที่นี่ วันนี้ไปทำงานก่อน เฮียบอกและอนุญาตให้เราลาออก

เรายกมือไหว้ขอบคุณเฮียก่อนเดินออกมาจากออฟฟิศ


เย็นของวันนี้หลังเลิกงาน
เราก็คงยังไปที่บึงสีฐานอีกอยู่เช่นเคยตามปกติทุกวัน
และก็เห็นแพรว นักศึกษาน้องใหม่จากต่างถิ่นมานั่งอยู่ก่อนหน้าแล้วเหมือนเดิม

ทิว เธอร้องเรียกและกวักมือเรียกเข้าไปหา
เราสังเกตดูทีท่าเธอรู้สึกว่าเธอเริ่มจะคุ้นเคยกับเรา การใช้ภาษาสนทนากัน
ก็ไม่ขัดเขินเหมือนก่อน

เราก็นั่งสนทนากับเธออยู่ซักครู่ใหญ่ก็ขอตัวกลับ
แต่ดูทีท่าเธอจะพยายามชวนคุยเพื่อให้เราได้อยู่ต่อ
เราเองก็ยืนยันที่จะกลับ
และก็กลับมาได้ในที่สุด


เราทำงานอีกสองวันสุดท้ายก่อนจะลาออก
วันนี้สิ้นเดือนตามกำหนด เราเปิดร้านรวงจัดหน้าร้านเรียบร้อย
ก็ออกมานั่งที่หน้าร้าน

เพื่อนพ้องพี่น้องร่วมงานคนอื่นๆก็มารวมทีมของตัวเองกันพร้อม
ต่างจัดเตรียมข้าวของขึ้นรถของใครของมัน คันละสองคน 
เพื่อวิ่งเร่ไปจำหน่ายตามร้านค้าทางไกลออกไป

เราเองก็เข้าไปพูดคุยบอกลาทุกคนว่าจะออกงานวันนี้แล้ว
และก็ขึ้นไปนั่งที่กระบะพ่วงข้างมอเตอร์ไซค์ที่เป็นยานพาหนะที่เราใช้วิ่งส่งของ
เป็นประจำทุกวันในละแวกใกล้ๆนี้
ต้องจากกันแล้วไอ้เกลอ
ขอบใจแกนะ ที่พาฉันไปพบกับริญ
และวันนี้ฉันก็กำลังจากแกไปพบกับริญอีกเหมือนกัน
ขอบใจมากไอ้เพื่อนยาก เราแอบพูดเบาๆอยู่กับรถส่งของคู่ใจ
ครู่เดียว เฮียก็เข้ามา


ทิวเข้าไปข้างในกับเฮีย เฮียหลงซิง เรียก


เราเดินตามเข้าไป

เฮียนั่งลง เปิดลิ้นชัก นำสมุดขึ้นมาให้เราเซ็นชื่อรับเงินเดือน
พอเราเซ็นชื่อเสร็จ เฮียก็ส่งเงินให้
นี่เงินเดือนสุดท้ายลื๊อนะทิว 1,500 บาท
ส่วนนี่เงิน 2,000 บาทเฮียกับเจ๊ ให้ลื๊อ ส่วนตัว เฮียพูดพร้อมกับส่งเงินให้


เรามองหน้าเฮีย
รับไปเฮียให้ลื๊อ ไปกรุงเทพแล้วถ้าไม่สมหวังก็กลับมาหาเฮียได้ตลอดเวลานะทิว
เฮียเสียดายลื๊อจริงๆ
ลื๊อเหมือนเฮียตอนหนุ่มๆ
ลื๊อ มองดูร้านนี้สิ มันไม่ใช่ของเฮียแต่แรก
มันเป็นของพ่อเจ๊เขา
เฮียก็ยากจนขายก๋วยจั๊บกับป๊าอยูหน้าโรงหนังในตลาด
จนได้พบกับเจ๊ แล้วเราก็รักกัน
ถูกกีดกันสารพัดจากฝ่ายพ่อเจ๊
แต่เฮียก็มุ่งมั่นทำมาหากินทุกอย่าง
หยิบจับอะไรที่ขายเป็นเงินได้เฮียขายหมด
จนซื้อรถกระบะเก่าๆได้คันนึง
ที่ลื๊อเห็นจอดทิ้งอยู่ในโกดังนั่นไง
นั่นแหละรถคันแรกของเฮีย 
เฮียใช้มันวิ่งส่งขายน้ำอัดลม เหร้า เบียร์
เครื่องดื่มทั้งหลาย เฮียไปรับจากร้าน
แล้วก็วิ่งออกเร่ขายเหมือนที่เพื่อนๆลื๊อไปทุกวันนี้
จนเฮียมาเช่าร้านตรงนี้ได้

จนในที่สุดพ่ออาเจ๊เขายินยอมให้เราแต่งงานกัน
 และซื้อตึกนี้ให้เฮียใช้ทำมาหากินจนทุกวันนี้

เฮียเล่าความหลังให้เราฟังอย่างไม่เขินอาย
เฮียรู้ว่าลื๊อจะไปตามแฟนใช่ไหมล่ะ
เฮียรู้นะอย่าคิดว่าเฮียไม่รู้
เพราะเหตุนี้เฮียถึงเข้าใจลื๊อ เฮียบอกกับเรา

ขอบคุณเฮียกับเจ๊มากครับ เรายกมือไหว้อีกครั้ง

วันนี้ลื๊อไม่ต้องทำงานแล้ว
ลื๊อไปเตรียมตัวลื๊อให้เรียบร้อย
เก็บข้าวของอาบน้ำแล้วนำกุญแจโกดังกับบริษัทมาคืนเฮียนะ ไปๆ


เรายกมือไหว้ลาเฮียอีกครั้งแล้วก็ขอตัวออกมาข้างนอก
อาบน้ำเสร็จสรรพเราเก็บข้าวของซึ่งก็มีเสื้อผ้าอยู่สี่ห้าชุดใส่กระเป๋าสะพายสีดำ
เก็บเอกสารสำคัญส่วนตัวทั้ง ใบ ร.บ. วุฒิ ม.3 สมุดธนาคาร ใส่กระเป๋าใบเล็กอีกใบ
ติดไว้กับตัว แล้วก็ออกมาลาเฮีย และมุ่งตรงออกไปนอกเมืองที่เทศบาลบ้านโนนชัย
เพื่อไปลาน้า ฝากเงินบางส่วนให้น้าไว้ใช้ฝากบางส่วนให้น้านำไปให้พ่อแม่ที่บ้าน
และฝากน้าลาพ่อแม่ที่บ้านให้ด้วย
เราไม่ได้บอกว่าจะไปกรุงเทพด้วยเรื่องอะไร
เรื่องของหัวใจทางครอบครัวไม่ว่าน้าหรือพ่อแม่ก็ไม่เคยรู้
เราอยู่กินข้าวกับน้ามื้อนึง
แล้วน้าก็ขับมอเตอร์ไซค์มาส่งที่สถานีรถไฟ
เราบอกให้น้ากลับก่อน ไม่ต้องห่วง
พอน้ากลับเราก็แวะไปบึงสีฐานเป็นครั้งสุดท้าย
เวลาประมาณห้าโมงเย็น 
เรามาอำลาที่นี่ มาซึมซับและจดจำบรรยากาศที่นี่ให้ได้มากที่สุด
เราเองก็ไม่ได้ต่างจากริญที่คงคิดถึงที่นี่ไม่น้อย
ริญเองเธอเกิดและวิ่งเล่นที่นี่จนโต ความรู้สึกของเธอคงยิ่งกว่าเรา


เรานั่งดู นอนดู ผุดลุกผุดนั่ง
และก็นึกถึงภาพเก่าที่ ริญ บอกให้เราแต่งกลอนบรรยายบรรยากาศริมบึงในวันนั้น
ทั้งที่เราไม่เคยแต่งกลอนเลย

พอคิดขึ้นได้ เราก็คว้ากระเป๋ามาหยิบเอาสมุดพก ปากกาออกมา 
แต่งกลอนอำลาที่นี่อีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้าย


เราเริ่มต้นที่


บึงสีฐาน นั้นเป็น พยานรัก
เป็นประจักษ์ พยาน ที่ชัดแจ้ง
ทุกเย็นย่ำ นั่งชม ตะวันแดง
ที่สาดแสง ส่องสอด ลอดแนวไพร
สนคู่นั้น ยืนยัน และตอกย้ำ
ทุกเย็นค่ำ สองเรา อยู่ที่ไหน
สนคู่นี้ รู้เห็น ความเป็นไป
ทุกถ้อยคำ เอ่ยไว้ สนได้ยิน
มาวันนี้ ขอลา ไปก่อนแล้ว
เพื่อตามหา นางแก้ว ดั่งถวิล
ต้องลาร้าง ห่างไกล ธรนินทร์
เพื่อออกตาม หาริญ ให้กลับมา 
ขอฝากรัก เอาไว้ ตรงนี้ก่อน
จะหวนคืน กลับคอน ย้อนมาหา
แล้วเราสอง จะก้ม กราบบูชา
เมื่อกลับมา คราวหน้า ค่อยพบกัน


----------------------------------


ลาก่อนบึงสีฐาน ลาก่อน ต้นสนคู่
มีบุญวาสนา เราสองคนจะกลับมา พบกันอีกที่นี่
แล้วเราก็ลุกเดินออกจากมอดินแดง กลับสถานีรถไฟ
ซื้อตั๋วไปกรุงเทพ ใบละ 79 บาท
ก้าวขาขึ้นขบวนรถไฟ ด้วยใจอาวรณ์


ฉันไปตามหาหัวใจของฉัน ฉันไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีหัวใจอยู่ที่นี่
ทิ้งรอยอดีตไว้ที่นี่ ตรงนี้ เมืองขอนแก่น ลาก่อนขอนแก่น