ยินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับคนใจช้ำที่ถูกย่ำยีมาไม่ว่าคุณจะเป็นใครเราคือเพื่อนกัน

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อย่าใช้ความไม่เข้าใจไปตัดสินงานศิลป์ใคร


ศิลปิน หรือ artist ถ้า แปลตามพจนานุกรมไทย
ก็หมายถึง ช่างผู้สร้างงานศิลปะที่มีความชำนาญ ประมาณนั้น

สรุปง่ายๆคือ คนสร้างงานศิลป์ หมายถึงคนที่มีผลงานของตนเอง
ฝรั่งเขาจะเรียกคนว่า artist ก็ต้องหมายถึงมีฝีมือ มีผลงานจริงๆ เช่น
ไมเคิล แองเจโร 
เลียวนานโด ดาวินชี่
แวงโก๊ะ ฯลฯ

เขาจะไม่เรียกดาราว่าศิลปิน แต่เขาจะเรียกสตาร์ หรือซุปเปอร์สตาร์
หรือนักแสดง หรือแอคเตอร์ หรือนักร้อง
แต่ที่ประเทศไทย พอได้เอาหน้าเดินผ่านกล้องก็เรียกตัวเองว่า ศิลปินแล้ว
ได้มีโอกาสลงเสียงในห้องอัด ก็เรียกตัวเองว่าศิลปินเช่นกัน
ดังนั้นศิลปินเมืองไทยจึงเกลื่อนถนน แต่ในความหมายที่ไม่ตรงกับฝรั่งเขา

บางคนแยกไม่ออกระหว่าง การแสดงออกส่วนตัวกับงานศิลป์
คือไม่เข้าใจคำว่า ศิลปะคืออะไร
หรือบางคนก็แยกไม่ออกระหว่างบทบาทกับตัวตนแท้จริง

สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา กับคนที่ได้มีโอกาสรู้จักกับผู้ที่เป็นศิลปิน
เพราะแยกแยะไม่ได้ว่าอันไหนตัวตน อันไหนงานศิลป์
ทั้งนี้เพราะใช้ชีวิตร่วมกับเขาจนแยกไม่ได้

งานศิลปะที่ศิลปินสร้างขึ้นทุกอย่างมันต้องมี กรอบความคิด
จินตนาการ ความคาดหวัง เป้าหมาย แง่คิด มุมมอง แฝงอยู่ในนั้นด้วย

มีบางคนพูดว่า ศิลปินใช้วิธีโกหก เพื่อที่จะบอกเรื่องราวความจริง
คือพูดออกมาตรงๆไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีการแบบศิลปินคือ สมมุติว่ามันไม่มีจริง
แล้วถ่ายทอดสิ่งที่อยากบอกนั้นออกไปให้สังคมรับรู้

งานศิลป์หลายอย่างเกิดจาก แรงบันดาลใจ จากใครซักคนหรืออะไรซักอย่าง
หรือเกิดจากจินตนาการ อุดมการณ์ ความฝัน หรือเกิดจากตัวเอง 
สังคมรอบข้าง หรือคนใกล้ตัว

เมื่อคนเหล่านี้ได้อ่าน ได้ดู ได้เห็นจึงเหมือนกับมองดูตนเองผ่านงานศิลป์
บางครั้งตรงกับจริตก็บอกชอบ พอไม่ตรงกับจริตก็บอกไม่ชอบ
ก็เป็นธรรมดา เพียงแต่อยากให้แยกแยะให้ออกว่า 
อันไหนส่วนตัว อันไหนงานศิลป์
มิเช่นนั้นคุณจะเป็นคนที่ปวดหัวที่สุด
ถ้ามีแฟนเป็นศิลปิน
เพราะเขามองสิ่งเดียวกับคุณ แต่มองอีกแง่มุมที่คุณมองไม่เห็น
เขามองในแง่ของศิลปิน และบอกเล่าเรื่องราวต่างๆนั้น
ถ่ายทอดออกมาผ่านงานศิลป์ ทั้งรูปภาพ ประติมากรรม และงานกวี



คุณมองเห็นอะไรระหว่างแก้วไวน์หรือคนสองคนกำลังจะจูบกัน นั่นแหละคืองานศิลป์






วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คนไม่มีเพื่อนนกไม่มีปีกไปได้ไม่ไกล


คนไม่มีเพื่อน นกไม่มีปีกไปไกลไม่ได้
คนไม่รู้จักคำว่าเสียสละขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้
นี่เป็นเรื่องจริงในสังคมมนุษย์

อริสโตเติลบิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์กล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
ดังนั้นการดำรงตน ดำรงชีวิตของมนุษย์เพียงลำพัง
ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

มนุษย์ต้องการ การเลี้ยงดู ดูแลเอาใจใส่
ต้องการความรัก ความอบอุ่น ความเมตตา และการยอมรับจากผู้อื่น
รวมไปถึงความรู้วิทยาการต่างๆด้วย

การเข้าสู่สังคมของมนุษย์
เริ่มขึ้นจากสังคมเพื่อนฝูงที่สนิทใกล้ชิดกันโตมาด้วยกัน
แล้วเข้าสู่สังคมในรั้วการศึกษาระดับต่างๆ
และเข้าสู่สังคมการทำงานหรือสังคมธุรกิจ

ทั้งหมดนี้ล้วนต้องพึ่งพาอาศัยกัน
ไม่มีผู้ใดได้ดีไปได้โดยลำพังผู้เดียว
การที่ไม่มีปฎิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่นเลย
คือการดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดที่สุด และจะล้มเหลวในการเข้าสังคม
จะไม่สามารถเจริญก้าวหน้าทางสายงานสายอาชีพได้เลย
การขาดปฎิสัมพันธ์ ขาดมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
แม้ไปประกอบกิจการงานก็ไม่เจริญรุ่งเรือง
เพราะมีพื้นฐานจิตใจเห็นแก่ตัว
เอาแต่ได้ ไม่กล้าเสีย มองประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง
คิดว่าตนเองวิเศษวิโสเหมือนพระเจ้าที่รอแต่คนนำของเซ่นไหว้มาให้
โดยที่ไม่เคยให้ใครเลย แม้แต่คำพูดที่ดี
เป็นพวกตระหนี่ถี่เหนียวแม้แต่คำพูดและกิริยาที่งดงาม

คนเช่นนี้โบราญจึงบอกว่า
คนไม่มีเพื่อน นกไม่มีปีกไปได้ไม่ไกลนั่นเอง



วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ขอปิดประตูใจ



ประตูใจของฉันเมื่อก่อนนี้ เปิดต้อนรับเธอทุกเวลา
ยามไกลตา จิตใจของฉันก็เฝ้าห่วงเฝ้ารำพึงหา
ดึกดื่นค่อนคืน ฉันก็เฝ้าเดินตรวจตราระวังภัยให้ ทั้งบนบ้านหรือลานจอดรถ
เห็นอะไรผิดปกติ ฉันก็ร้องถามตักเตือน

ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ฉันทำคือ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง 
แต่เอากระดูกมาแขวนคอ

ยามเธอป่วยไข้ไม่สบาย
ฉันก็เฝ้าห่วงเธอเสมอมา มีหยูกยาก็สรรหาให้
เรียนหนังสือไม่เข้าใจ ฉันก็เฝ้าดูแลแนะนำ
ทำเว็บให้ส่งอาจารย์ได้ 
ลงแผ่นงานเพาเวอร์พ้อยต์ไม่เป็น เราก็ลงให้ แถมเงินเราซื้อแผ่นมาเอง
อยากได้ต้นไม้ดอกสีขาว ดอกหอม ก็กุลีกุจอเร่งหามาให้

มีอะไร ได้กินอะไร ก็แบ่งก็ปันให้ถึงมือมาตลอด
พืชผักรอบบ้านที่เธอหยิบคว้าไปล้วนไม่มีเกิดเอง
แต่มันมาจากมือฉันทั้งสิ้นที่ปลูกมันขึ้นมา

ฉันไม่เคยหวังอะไรตอบแทนจากเธอ ฉันแค่หวังว่า
จะได้ไมตรีจิตที่มั่นคงจากเธอ และเก็บรักษามันไว้จนตายจากกันไป
ไม่เคยคิดว่า สิ่งที่ฉันทำ เธอกลับมองว่า เสือก เสนอมาเอง
เธอมองน้ำใจจากคนว่าเสือก เธอก็หมดค่าแล้วในสายตาเช่นกัน

เพราะฉันลงไปดูรถเธออยู่ทุกคืน
ฉันจึงรู้ว่ามีรอยชนไม่มีรอยชน
ด้วยความปรารถนาดีฉันจึงบอกเธอไป
เพื่อจะช่วยเธอแก้ไขได้ทัน
แต่กลายเป็นว่าฉันเป็นหมา เสือกตามเคย

ความรู้สึกดีๆที่เคยมีมา มันจึงขาดสะบั้นลงทันที
ประตูใจที่ฉันเคยเปิดไว้ให้เธอจึงถูกปิดลงทันที
และกุญแจไขใจของฉัน ฉันจึงขอคืนทันที

ไม่เคยคิดว่านี่คือสิ่งที่คนที่เรารู้สึกดีจะทำกับเรา
และยังไม่สำนึกในสิ่งที่ตนเองทำอีก กลับตะแบงข้างๆคูๆอย่างน่าสมเพช
ไม่เพียงไม่สำนึกผิด เธอยังโพสต์ด่าฉันต่อหน้าสาธารณะ
ทำให้ฉันมองเห็นเข้าไปถึงพื้นเพของหัวใจเธอจนหมดสิ้น

ฉันจะอภัยให้เธอ 
แต่ฉันจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เธอทำกับฉันจนวันตาย
ฉันจะไม่ทวงคืนจากเธอชาตินี้ แต่ฉันให้เธอชดใช้กรรมที่เธอก่อกับฉันชาติต่อไป

นี่จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะกล่าวพาดพิงไปถึงเธอเพื่อให้เธอรู้
จากวันนี้ไป ประตูหัวใจฉันปิดตายสำหรับเธอ
ไม่ขอเหยียบเงา ไม่ขอเผาผี
เป็นตายร้ายดีไม่ขอนำพาอีกต่อไป
เธอตายแล้วจากใจฉัน เธอตายด้วยมือเธอเอง
เธอตายด้วยทิฐิมานะของเธอเอง
เธอตายด้วยฤทธิ์อารมณ์ของเธอเอง

สุดท้ายฉันขอเตือนเธอ อย่าไปทำอย่างนี้กับใครอีก
เพราะถ้าใครคนนั้นไม่ใช่ฉัน เธอคงจะได้รับการเอาคืนอย่างสาสมแน่นอน
ขอให้เธอโชคดี อยู่ในโลกเน่าๆของเธอต่อไป
 โลกที่สายตาหยามเหยียดและเสียงซุบซิบของชาวบ้านจับจ้องอยู่
ฉันพยายามแล้วที่จะยื่นมือพาเธอออกไป
สิ้นสุดกันเพียงนี้


วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

น้ำผึ้งร้อยไห ไม่เท่าน้ำใจหยดเดียว




มีหมาเป็นเพื่อน ดีกว่ามีเพื่อนหมาหมา
หรือช่วยคนที่ไม่รู้จักบุญคุณคน ช่วยหมาดีกว่า

นี่เป็นตัวอย่างของคำสอนโบราญ
ซึ่งมันเป็นความจริงอยู่เสมอไม่ว่ายุคกาลจะผันผ่านไปนานเท่าใด
โบราญว่า
อย่าดูถูกน้ำน้อยที่ซึมจากบ่อทราย
เพราะน้ำน้อยนั้นไหลซึมอยู่ทุกวันเวลา
เมื่อหลายวันผ่านไปก็กลายเป็นน้ำมาก

โบราญว่า
ยามเราหิวน้ำจนปากแห้งตาลาย 
มีใครซักคนส่งแก้วน้ำเย็นๆยื่นให้ ก็ให้ถือว่าน้ำเพียงแก้วนั้นช่วยชีวิตเรา
คนคนนั้นมีบุญคุณกับเรา อย่าไปมองว่าแค่น้ำแก้วเดียว เดี๋ยวจะคืนให้ก็ได้
เพราะในเวลานั้นเราขาด เราต้องการน้ำ ถ้าไม่ได้น้ำแก้วเดียวเราก็ตายได้
น้ำแก้วเดียวจึงเป็นน้ำที่ต่อชีวิตเราไว้

ยามเราหิวข้าว มีคนส่งข้าวให้เรา แม้เพียงเมล็ดเดียว
ท่านก็สอนว่า นั่นคือบุญคุณ โดยอย่าไปมองว่า
ข้าวจะมากจะน้อย แต่ยามนั้นเราต้องการอาหาร
ข้าวเพียงน้อยนั้นมันต่ออายุเรา

สิ่งที่สำคัญกว่าน้ำและข้าวก็คือ น้ำใจของผู้ที่หยิบยื่นให้
ให้เราถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ ที่เราต้องเคารพตอบแทน

ท่านจึงสอนว่าเราต้องรู้จักกตัญญูกตเวที
กตัญญู คือการรู้คุณ สำนึกในบุญคุณของผู้ที่ยื่นน้ำใจยื่นโอกาสให้เรา
 หรือเลื้ยงเรามาอบรมสั่งสอนเรามาจนโตเติบใหญ่

ส่วนกตเวที คือการตอบแทนคุณนั้น ด้วยการ เชื่อฟัง เคารพ อ่อนน้อม
หรือเลี้ยงดูท่านยามชรา

กตัญญูกตเวที เป็นคุณสมบัติของผู้ที่ประเสริฐแล้ว เจริญแล้วเท่านั้น
คนถ่อย หรือพวกเดรัจฉานชั้นต่ำ จะไม่มีคุณสมบัตินี้ติดตัวเลย

ท่านสอนว่า ผุ้ที่กตัญญูกตเวที ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
ทำมาหากินก็จะเจริญก้าวหน้า ไม่ป่วยไข้เป็นโรคภัยกระเสาะกระแสะ

ตรงกันข้ามกับผู้ที่ไม่สำนึกในผู้มีพระคุณ
จะตกต่ำในชีวิต ทำมาหากินไม่ขึ้น
มีหน้าตาอิดโรย หมองคล้ำ ไม่มีสง่าราศี
ทำมาหากินไม่ขึ้น ได้มาก็หมดไป
แม้ยามตายไปก็ไร้เพื่อนฝูงที่มาดูใจ เพราะขาดความกตัญญู

น้ำใจที่คนคนนึงส่งยื่นให้
ถ้าเรามองว่า ก็แค่นั้น ไม่มีความสำคัญอะไร
ก็จะไม่มีใครให้เกียรติ และให้ความสำคัญกับเราเลย
เพราะเราเองมองไม่เห็น สิ่งที่มีค่ากว่าสิ่งของนั้นคือจิตใจของผู้ให้

วันนึงข้างหน้าข้างกายเราจะไม่เหลือใครเลย
ผู้ใดมองน้ำใจผู้อื่นว่า เสือกมึงให้กูเอง
คนผู้นั้น ควรถูกประณาม ควรถูกกันออกห่างจากผู้ที่เจริญแล้ว
เพราะข้าวก้อนเดียวที่เขาโยนให้หมากิน หมาซึ่งเป็นเดรัจฉาน
มันยังรู้คุณ ผู้ที่เป็นคนกลับไม่รู้คุณ ก็จิตใจต่ำกว่าเดรัจฉาน 
ผู้เป็นบัณฑิตไม่ควรเข้าใกล้คนประเภทนี้

พุทธองค์สอนว่า บางคนมืดมา สว่างไป
บางคนมืดมาแล้วก็มืดไป
หมายถึงบางคนเกิดมา ก็เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา
แต่พอโตเติบใหญ่ กลับขวนขวาย คบบัณฑิต
ใฝ่รู้ใฝ่เรียน เข้ารับการติเตียนจากบัณฑิต เพื่อหาข้อบกพร่องตนเองเป็นประจำ
และนำไปศึกษาเล่าเรียนกล่อมเกลาตัวเอง จนในที่สุดแตกฉานวิชา
 รู้ดีรู้ชั่ว แยกแยะถูกผิดได้ดวงตาเห็นธรรม 
คนพวกนี้เรียกว่ามืดมา สว่างไป คือตอนตายก็ตายแบบผู้รู้

ต่างจากพวกมืดมามีดไป เป็นพวกที่กิเลสหนา ปัญญาทึบ ทิฐิมานะสูง
ไม่เปิดใจรับคำติเตียน วิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบตนเอง
แยกแยะถูกผิดชั่วดีออกจากกันไม่ได้ ฝึกฝนอบรมกล่อมเกลาตัวเองไม่ได้
ตกอยู่ภายใต้อำนาจอารมณ์ หรืออารมณ์ทางต่ำ ใฝ่ต่ำอยู่เป็นนิจ
จนถึงยามจากโลกไปก็ไปแบบมืดหรือมืดมาและมีดไป

เปรียบเหมือนบัว 4 เหล่า พวกนี้ก็เป็นบัวใต้โคลนตม
ไม่มีวันจะโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ สุดท้ายก็เป็นอาหารของเต่าของปลาในที่สุด


Sunday wallpaper


วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ชะตาชีวิต


เส้นทางชีวิตที่ผ่านมา
ก็ถือว่าโชกโชนอยู่ไม่น้อย
แต่สิ่งที่หวนย้อนนึกถึงขึ้นมาว่า มีอะไรน่าจะกลับไปแก้ไข
หรืออยากกลับไปขอโทษใครซักคนหรือไม่
ก็ต้องตอบว่าไม่มี แม้ย้อนเวลาได้ก็จะเดินตามเส้นทางเดิมเส้นทางนี้
ชีวิตนี้กล้ายืนหยัดต่อฟ้าดินว่าเราไม่เคย ทำเรื่องเลวร้ายกับใคร

แต่เส้นทางหัวใจ
มันกลับกลายเป็นจุดบอดจุดอ่อนแอที่สุดสำหรับเรา
หัวใจดวงนี้มันมีแผลเป็นที่หัวใจ จากร่องรอยรักในอดีต
ทำให้หัวใจดวงนี้อ่อนแอ ขาดความมั่นใจ
สูญเสียความมั่นใจไปตลอดระยะเวลา

เส้นทางหัวใจของเรา เริ่มรักแรกกับวริญญา
นักศึกษาแพทย์ผู้ที่จิตใจงดงาม และงามทั้งรูปกาย วาจาใจ
ชีวิตนี้ไม่เคยพบเจอหญิงใด ที่สมบูรณ์แบบเท่าเธออีกแล้ว
เธอเป็นลูกหลานคหบดีผู้มีชื่อ มีหน้าตา
ส่วนเราไร้ค่า ไร้การศึกษา ไร้อนาคต
แต่วริญญาเธอกลับมองเห็นหัวใจรักที่เรามีให้ 
เธอไม่เคยรังเกียจเดียดฉัน แม้หลายครั้งเรามีอันต้องพลัดพรากจากกันไป
ตามภาระหน้าที่ แต่หัวใจรักสองเรากลับไม่เคยห่างหายจากกันไปเลย

รักแรกของเราหวานชื่น จนชาตินี้ไม่คิดมองหารักที่ใดอีกแล้ว
แม้รักเราจะมีอุปสรรค จากผู้ใหญ่ ฐานะ หน้าตา เราต่างกัน
จึงนำมาสู่การกีดกันเรา

แต่หาใช่หัวใจเราสองไม่
เรายิ่งรักกันแนบแน่นยิ่งขึ้น จนเมื่อมีคำขาดจากผู้ใหญ่
เธอตัดสินใจเลือก ฉีดยาฆ่าตัวตาย เพื่อรักษาไว้ซึ่งรักแท้

แต่ชีวิตฉันกลับตกค้างมาเพียงลำพังเมื่อเธอลาโลกไป
ชีวิตฉันก็เหมือนตายทั้งเป็น แม้มีร่างกาย และหายใจอยู่
แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากร่างไร้วิญญาณ
ที่จริงฉันควรจะตายตกตามเธอไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว

เมื่อฉันยังอยู่ชีวิตฉันก้ไม่ต่างจากตายเหมือนกัน 
ยิ่งเจ็บและทรมานเสียกว่า เมื่อเราเป็นฝ่ายแบกรับความทุกข์ทรมานไว้เพียงผุ้เดียว

เส้นทางหัวใจต่อมาเมื่อไร้วริญญา ก็เซซัดพัดลอยไปตามลม
ใช้ชีวิตแบบไร้ค่า ไร้สติ ไร้หลักยึด อยู่แบบซังกะตายไปวันๆ
จนมาเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับชีวิตครั้งใหญ่กับหญิงสาวนางหนึ่ง
ที่ไม่รู้ว่าเธอเจ็บแค้นเคืองขุ่นมาแต่ชาติหนไหน
เธอมาเพื่อจะกักล่ามชีวิตของเราไว้ให้อยู่ใต้อาณัติเธอตลอดมา

เมื่อเรารู้สึกตัวเองว่ามันไม่ใช่ เราไม่ควรจะตายที่ตรงนี้กับผู้หญิงคนนี้
ชีวิตเส้นทางหัวใจเรามันก็สายไปเสียแล้ว
เมื่อเราจะหาทางออก หาทางไปจากคุกหัวใจนี้
ก็อยู่ในวัยที่เสื่อมค่าเสียแล้ว
หรือนี่เป็นชะตากรรมของเรา

หลายครั้งจะหาทางออกหาทางไปกับใครซักคน
เพื่อสร้างครอบครัวที่เราเลือกเอง แต่ครั้นเราทำท่าว่าจะเอาจริงเข้า
รักเลื่อนลอยพวกนั้นก็เลือนหายไป ไร้ความจริงใจกับเรา
เส้นทางหัวใจเราในวันนี้จึงไม่ต่างกับ เรือน้อยที่ลอยเคว้งคว้าง
กลางอ่าวลึก ไร้จุดหมาย ห่างไกลฝั่ง ว้าเหว่ เดียวดาย
คงอีกไม่นานคงจมลงสู่ก้นอ่าวในไม่ช้านี้
ฉันหวังว่า เมื่อฉันสิ้นลม เมื่อฉันลาจากโลกนี้
สิ่งแรกที่ฉันจะได้พบเห็นในโลกใหม่
คือใบหน้าของเธอวริญญา
พี่รู้แล้วว่า ริญคนเดียวเท่านั้นที่พี่ฝากหัวใจฝากชีวิตไว้ได้
 และเป็นคนเดียวที่จะไม่ทอดทิ้งพี่ เป็นคนเดียวที่พร้อมมอบรักกับพี่
 และไปกับพี่ทุกเส้นทาง
รอพี่นะริญ คงไม่นานหรอก รอพี่ก่อนที่สวรรค์ 
รอให้พี่ไปแล้วเราจะกลับมาเกิดใหม่เป็นคู่กัน
คราวนี้พี่สัญญารักเราจะสุขสมหวัง มีครอบครัว มีลุกมีหลานของเรา
ที่เกิดจากรักล้นใจของเราสองคน สืบลูกสืบหลานต่อไป



เพลง รอพี่ที่สวรรค์ กังวาล ทองเนตร คำร้อง ทำนอง ขับร้อง


วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ฝากไว้ให้แผ่นดิน



ดอกไม้งามสายพันธุ์ดี ควรหรือที่จะให้ถูกทอดทิ้งและปล่อยให้แห้งเหี่ยวโรยลาไป
โดยที่ไม่มีเมล็ดพันธุ์นี้หลงเหลือบนโลกอีกเลย
นั่นคือสิ่งที่น่าเสียดายที่สุด

บุบผางามยามแย้มช่อ
ชั่งละออสุขสดใส
แล้วจะปล่อยให้เวลาฆ่าเธอไป จะเสียใจไปจนตาย
ดอกไม้งาม หลายคนเห็นแล้วอยากเด็ดอยากดอม
และนำไปประดับไว้ในแจกันทองเพื่อยลโฉมงามของเธอ

หารู้ไม่ว่า การทำอย่างนั้น ก็คือการทำลายทำร้ายเธอนั่นเอง
สำหรับฉัน ฉันจะไม่เด็ดดอกไม้ดอกนั้น ไปเชยชมคนเดียว
แต่ฉันจะดูแลเธอ ให้เธอเติบโตอยู่ที่กิ่งก้าน ลำต้นของเธอ
จนเธอสามารถ ออกผลออกเมล็ด เพื่อจะนำไปขยายเผ่าพันธุ์ของเธอต่อไปได้

ดอกไม้แม้จะงามสักแค่ไหน
แต่เมื่อตกอยู่ในมือคนไม่รู้ค่า ก็เปล่าประโยชน์
นอกจากจะไม่ทะนุถนอมเธอแล้ว
ยังจะปล่อยให้เธอ เหี่ยวแห้งเฉาตายตามกาลเวลา

การที่เรายกชีวิตให้ใครซักคนนำทางเรา
สิ่งแรกที่เราจะต้องคำนึงถึงก็คือ
คนคนนั้นเป็นผู้นำตนเองได้แล้วหรือยัง
เพราะเมื่อเป็นผู้นำตนเองได้แล้ว ก็จะสามารถนำพาผู้อื่นไปได้
แต่ถ้าแม้แต่ตัวเองยังหลงผิด เห็นผิดเป็นชอบ ชีวิตตัวเองแท้ๆ
ยังไม่รู้จะไปทางใด ก็ป่วยการที่เราจะฝากชีวิตไว้ได้

เมื่อเส้นผมบนศรีษะของเรา เปลี่ยนสีจากดำเป็นสีขาวเมื่อไหร่
เมื่อนั้นตัวเราเองก็จะมองเห็นความไม่แน่นอนแห่งชีวิต
อนาคตและเรี่ยวแรงของเราก็จะค่อยๆสิ้นสุดลงตามสีผมที่เปลี่ยนไปนั้นด้วย
เมื่อเราป่วยไข้ แก่เฒ่า อะไรจะเป็นหลักให้ชีวิตเรายามบั้นปลาย

ดังนั้น ก่อนที่สีผมจะเปลี่ยนแปลง
เราต้องสร้างความมั่นคงไว้ให้กับอนาคตของเราเสียก่อน
เมื่อสีผมเราเปลี่ยนเป็นสีขาว เราก็ต้องการ มือที่แข็งแรงจากใครซักคน
มากุมมือจับมือเราไว้ให้แน่น มั่นคง แล้วพาเราเดินต่อไป เคียงข้างเรา
โดยไม่ทอดทิ้งเรายามเฒ่าชรา อยู่กับเราจนบั้นปลายชีวิต
และฝากสายเลือดของเราเหลือไว้บนโลกใบนี้

สิ่งต่างๆเหล่านี้ เรามักมองข้าม เมื่อเรายังหนุ่มสาว
แต่เราจะเห็นคุณค่ามันยามเราชราข้างกายเราไม่เหลือใครเลย
แม้ยามตายยังไม่มีใครจับยัดใส่โลง
ความสวยงามไม่จีรังยั่งยืน
ความดี ความมั่นคงทางจิตใจ คือสิ่งที่จะปลอบโยนเรายามที่เราไร้เรี่ยวแรง
อย่าให้คนที่มีสายตาที่บอดสีมาชี้นำทางเรา บอกสีเรา
เพราะเขาจะพาเราไปในทางที่ผิดเสมอ เพราะตัวเขาเองไม่เคยรู้ด้วยซ้ำ
ว่าสีที่ถูก ทางที่ถูกเขาเดินไปทางใด สีอย่างไร

เราต่างหากที่ตาดีแท้ๆ ประโยชน์อะไรที่เดินตามหลังคนตาบอด
เราดูถูกตนเอง เราทำร้ายตนเอง เพื่ออะไร
เราโกรธเราแค้นเคืองใคร
เราจึงต้องทำร้ายชีวิตตนเองถึงเพียงนั้น
ทำไมเราไม่หยุดมันทำในสิ่งที่ถูกต้องเสียที

ให้ดอกไม้ที่งดงามดอกนี้ ผลิดอกออกผลแตกกอแตกลูกแตกหลาน
เป็นป่าดอกไม้สายพันธุ์ดี ป่าใหญ่เบ่งบานเต็มทุ่ง ประดับไว้ในแผ่นดินโลกนี้
ตราบนิจนิรันดร




วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อารมณ์

อารมณ์
คือสิ่งที่มักมีอิทธิพลต่อเราในทางความคิด การตัดสินใจ รวมถึงวิถีการดำเนินชีวิตด้วย
หลายครั้งที่เรายอมให้อารมณ์ เข้ามาครอบงำเรา จนอารมณ์เป็นใหญ่ อยู่เหนือเหตุผล
อยู่เหนือหลักความเป็นจริง

บางครั้งเราตัดสินใจอะไรลงไป โดยใช้ข้อมูลตัดสินใจจากอารมณ์เพียงอย่างเดียว
โดยไม่มีเหตุผล ไม่มีหลักฐาน ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีแต่หนหลัง มาเป็นตัวเลือกร่วมอยู่เลย

และหลายครั้งเราก็เคยเสียใจ ผิดหวัง เจ็บปวด เพียงเพราะ เราตกเป็นทาสอารมณ์
หลายคราที่เราตัดสินคน พิพากษาคน ว่า ดี ว่า เลว เพียงเพราะเรา ใช้อารมณ์ รัก ชอบ เกลียด
หลง โมโห ด่วนตัดสินใจลงไป โดยที่ไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์อื่น ที่ดีต่อกัน ที่เคยดูแลกันมา
เพียงแค่เขาทำไม่ถูกใจเราเพียงครั้งเดียว เราก็ตัดสิน พิพากษาเขาแล้ว ว่า เขี่ยทิ้ง ไม่ดี เลว
และหลายครั้ง เราก็มานั่งเสียใจ เมื่อเรา ตัดสินใจนั้นไปแล้ว และมานั่งโทษตัวเองภายหลัง

การตัดสินคนเพียงเพราะอารมณ์ รัก ชอบ โกรธ เกลียด หลง ขาดสติ ผลของมันมักนำมาซึ่งความเสียใจเสมอ เพราะเราขาดสติ ขาดปัญญายั้งคิด ขาดข้อมูล ขาดหลักฐาน ทั้งๆที่รู้ เราก็ยังที่จะกล้าชี้หน้าตัดสินคนว่า ชั่ว ดี ไม่ดี เราตัดสินคนง่ายเกินไปหรือไม่

และถ้าเรามองกลับกัน
หากวันหนึ่งเกิดมีใครซักคนมาชี้หน้าตัดสินเรา ทั้งที่เขายังไม่รู้จักเราดีพอ ทั้งที่เราพยายามจะอธิบาย จะยกเหตุผล แต่เขากลับไม่รับฟังเราเลย เพียงเพราะ ขาดสติ อารมณ์ครอบงำ แล้วเขาก็ชี้ว่า เราโง่ เราชั่ว เราเลว เราดี เราไม่ดี

มันใช่ไหม มันใช่หรือไม่ ใช่เหรอ อย่างนั้นเหรอที่เราต้องการ เราไม่ต้องการความยุติธรรมแล้วหรือ อย่างน้อย ต้องเปิดโอกาส เปิดพื้นที่ให้กันและกัน ได้ยืนหายใจ ได้มีโอกาสพูด ได้มีโอกาสถาม ได้มีโอกาสในการอธิบาย บ้าง ก่อนที่เราจะชี้หน้าใคร หรือใครมาชี้หน้าเรา ว่า ดี ชั่ว เลว ทราม อย่ายอมให้อารมณ์มาอยู่เหนือจิตใจเรา อย่ายอมให้อารมณ์มาทำให้เราเสียมิตร โดยที่ไม่ควรเสีย อย่าให้อารมณ์มาทำลายชีวิตของเรา ตามที่ควรจะเป็น มิเช่นนั้น เราจะกลายเป็นทาสอารมณ์ ต่อไปจนวันตาย





วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รอวันเธอกลับ


  • รอวันเธอกลับมา


เธอก็รู้ ว่าพี่รัก                        แล้วเธอผลัก พี่ทำไม
ผลักแล้ว ได้อะไร                  ความสะใจ หรือร่าเริง
เธอเอง ก็มีทุกข์                    ใช่จะสุข  มันยุ่งเหยิง
ใจฉัน ก็เปิดเปิง                     ส่วนใจเธอ ก็หมองตรม
ไม่มี ใครมีสุข                         มีแต่ทุกข์ ไร้สุขสม
จากคน ที่นิยม                       ก็เบือนหน้า ร้างลากัน
เหมือนเรา หลอกตัวเอง       เจ็บใจเอง มันน่าขัน
เรื่องราว สารพัน                   เพราะเธอฉัน ไม่เข้าใจ
ลืมได้ ลืมไปเถิด                   จงเตลิด ไปให้ไกล
ส่วนพี่ ลืมไม่ได้                    พี่หลอกใจ นั้นไม่ลง
จุดเปลี่ยน ของเรื่องนี้          มันอยู่ที่ เจตจำนง
แค่บอก กันตรงตรง             เธอก็หลง ทิศหลงทาง
กลับมา ปรับหัวใจ                พี่ยังไม่ คิดเมินหมาง
ยังอยู่ ในเส้นทาง                เพื่อรอนาง นั้นกลับมา
กลับมา เป็นคู่คิด                 คู่สนิท คู่กายา
ไม่มี เสียน้ำตา                     โปรดกลับมา เถิดคนดี





วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ราตรีที่ยาวนาน


เมื่อยามแสงทองลับลาจากขอบฟ้าไป
เสมือนหนึ่งว่าพรากหัวใจของฉันไปจากอกด้วย
หนึ่งทิวาหนึ่งราตรีสำหรับฉันมันชั่งยาวนานเหลือเกิน
ราตรีที่ยาวนานในแต่ละวันมันเฉือนบั่นความมั่นใจ
ไปจากฉันเสียสิ้น

ฉันทุกข์ ฉันตรม ฉันขมขื่น ฉันเหงา
ฉันครุ่นคิด รำพึงรำพัน กับทุกเรื่องราว ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตฉัน
บางครั้งฉันสะอื้นไห้ น้ำตาฉันไหลคลออาบพวงแก้ม ทุกครั้งที่ฉันคิดขึ้นมา
บางครั้งฉันแอบยิ้ม เมื่อฉันคิดถึงภาพรักของเราในอดีต

ร่องรอยแห่งอดีต มันเชือดเฉือนใจฉันเสียเหลือเกิน
ไม่มีซักวันที่หัวใจฉัน จะไม่ตรอมตรม ฉีนทุกข์ทรมาน
กว่าจะก้าวข้ามคืนข้ามวันไปได้

คนที่หัวใจเจ็บ คนที่เหมือนตายทั้งเป็น
คนที่ถูกพรากรัก คนที่คนรักตายจาก ตั้งแต่ยังวัยหนุ่มอย่างฉัน
คงไม่มีใครเข้าใจว่ามันทุกข์ ทรมานแค่ไหน

คนเราเมื่อหมดรักก็ลาจากกันไป
หัวใจก็คลายความสำคัญนั้นลง
แต่
เราจากกันทั้งที่ยังรัก อาวรณ์ อาลัย ห่วงหากันอยู่
ภาพความหวานชื่น ภาพความเจ็บปวดในอดีต 
มันยังฝังตรึง ค้างคาความทรงจำไม่เคยลืมลงได้

หลายครั้งที่ฉันคิดหาใครซักคน มาลบร่องรอยแผลนี้ออกจากใจ
ก็ดูท่าว่า จะสิ้นไร้วาสนา ชีวิตรักของฉัน
คงถูกเขาขีดเส้นกำหนดมา
ให้ชะตารัก ฉันอกตรม

ชะรอยกรรม เมื่อครั้งก่อน
ฉันคงเคยพลัดพราก นกกา จากพ่อแม่
กรรมแต่หนหลังจึงตามมา ให้ฉันได้ลิ้มรส ความพลัดพรากนี้

เมื่อยามที่ฉันอยู่คนเดียว เดี่ยวโดด
ฉันก็ให้รู้สึกว่า ข้างกายฉัน จะมีสายตาที่เฝ้ามองจับจ้องตัวฉันอยู่
ด้วยความสนใจในตัวฉัน
แต่เมื่อใดที่ฉันหันกลับไปเหลียวมอง
ก็ไร้วี่แววสายตาเหล่านั้น ยิ่งฉันเดินเข้าหา
ก็ยิ่งดูเหมือนว่า ฉันยังยังเดียวดาย

ยามใด ที่สายลมลูบไล้ โลมเลียผิวกาย
หัวใจฉันเหงา หนาวสั่นสะท้าน
ฉันอยาก อิงแอบไออุ่นรัก จากใครซักคนที่รัก และเข้าใจฉัน
ฉันอยากโน้มดึงเธอมากอด พรอดพร่ำ ให้ฉ่ำรัก
อยากจูบแก้มเธอซักพันพันครั้ง
อยากบอกรักเธอทุกวินาที
อยากบอกให้ใครรู้ว่า
ฉันมีรักแท้ ฉันเจอรักแท้ ฉันเจอคู่รักของฉันแล้ว
และฉันก็กำลังมีความสุขกับรักนั้นของฉัน

ฉันอยากได้เธอ มาเคียงชิดใกล้
ยามร้อนก็คอยพัดวีให้กัน
ยามหนาวก็ขยับกายเข้าใกล้
ให้ผิวเนื้อ ให้หัวใจของเราเข้าชิดกัน
ให้หัวใจของเราได้สัมผัสไอรักจาก อกของกันและกัน

ฉันอยากบอกเธอว่า ฉันเหนื่อยเหลือเกิน ฉันอ่อนล้าเหลือเกิน
ฉันไม่แน่ใจว่า พลังใจของฉัน จะมีแรงอดทนต่อไปได้สักเท่าไร

เพราะเมื่อข้างกายของฉันไม่มีเธอ
หัวใจของฉันก็ไม่มีความกระตือรือล้นอีกต่อไปเลย
หัวใจของฉัน ก็ไม่อยากอยู่ต่อไป
ชีวิตที่อยู่ก็เหมือนตาย มันชั่งทรมานเสียเหลือเกินคนดี

กว่าฉันจะผ่านราตรีนี้ไปได้
ก็ต่อเมื่อฉันเห็นแสงทองเริ่มส่องขอบฟ้าอีกครั้ง
หัวใจของฉันมันจึงบอกฉันว่าถึงเวลาพักผ่อนแล้ว



คนอาภัพ - สายัณห์ สัญญา ขับร้อง น้องก้องทำ