ยินดีต้อนรับทุกท่านสำหรับคนใจช้ำที่ถูกย่ำยีมาไม่ว่าคุณจะเป็นใครเราคือเพื่อนกัน

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

ไม่มีถนนสายใดอยู่ไกลเกินคิดถึง


การที่เราจะคิดถึงใครซักคน
ไม่ใช่อยู่ ก็คิดถึงขึ้นมาได้
มันต้องมีความรัก ความผูกพัน หรือรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน
จึงจะมีความรู้สึกคิดถึงกันขึ้นมาได้

บางครั้ง คนที่เราคิดถึง อยู่ห่างกันเพียงแค่เอื้อมถึง
แต่เรายังรู้สึกว่า เหมือนมีกำแพงมาปิดกั้นเอาไว้
ทั้งที่ตัวเราสามารถ กระซิบบอกเขาได้เลยว่า คิดถึงกัน
ก็สามารถได้ยินเสียงกระซิบนั้นแล้ว

บางครั้งคนที่เราคิดถึง อาจจะเป็นคนในอดีต
หมายถึงคนที่เราเคยรู้จักมักคุ้น
เคยมีสัมพันธ์ทางใจกับเขา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
และอาจเคยเป็นคนที่เคยทำให้เรา มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ
หรือมีน้ำตามาก่อน

เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อวงโคจรชีวิตของเราหลุดจากกัน
เวลาก็เข้ามากลบเกลื่อนร่องรอยนั้นไป
แต่วันหนึ่ง เรากลับหวนย้อยระลึกคิดถึงเขาขึ้นมา
พร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า หรือรอยยิ้ม เมื่อนึกถึงภาพในอดีตนั้น

บางครั้งเราก็คิดถึง คนใกล้ตัว ใกล้ใจในปัจจุบัน
แต่บังเอิญ ตัวเราอยู่ห่างไกลกัน
อาจเป็นด้วย ภาระ หน้าที่ การงาน 
ที่ต้องทำให้เราพลัดพรากจากกัน
แต่จิตใจเรายังผูกพันกันเสมือนกับว่า
เรายังจับกุมมือกันนั่งเคียงไหล่กันอยู่เสมอ
ไออุ่นจากลมหายใจ
ไออุ่นแห่งรัก
ยังสัมผัสได้อยู่เสมอ แม้ไม่มีตัวเขาอยู่ข้างเราแล้วก็ตาม
ไม่ว่าเราจะคิดถึงใคร
ไม่ว่าเขาจะเป็นคนในอดีต คนใหม่
คนที่เป็นที่ความหวัง หมายปอง
ไม่ว่าเขาและเธอจะอยู่ใกล้หรือไกลเพียงใด
รู้ไว้ด้วยเถิดว่า
มันไม่เคยมีเส้นทางใด
ที่จะอยู่ไกลเกินกว่าความคิดถึงจะไปหาได้

ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะไกลโพ้น กันดาร ลำบากยากเข็ญสักเพียงใด
หัวใจ ยังสามารถนำพาความคิดถึงนั้น ไปส่งถึงกันได้ 
ถ้าตราบใดที่หัวใจเรายังมีความผูกพันและรักมั่น
หัวใจของฉันเป็นเช่นนั้นจริงๆ





วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

คำสารภาพ


บางที
คำพูดและความห่วงใยที่ออกมาจากใจ
ของใครบางคน ที่พูดอยู่ซ้ำๆ
มันก็ทำให้เรามองข้าม และไม่เห็นค่าได้เหมือนกัน
บางครั้งเราเองกลับมองว่า น่าเบื่อหน่าย ไร้สาระ พูดอยู่ได้ เดิมๆซ้ำๆ

ต่อเมื่อวันนึงที่เราไม่มีเขา
เราไม่มีใคร
ข้างกายเรา ไม่มีแม้เงาของใคร
วันนั้นเราจะรู้ว่า
คำพูดที่น่าเบื่อหน่าย
จากใครบางคน ที่เขาคอยเป็นห่วงเป็นใยเรา
ที่เรามองว่าไม่มีค่า ไร้สาระ กลับเป็นคำพูดที่เราต้องการ
ในยามที่เราไม่มีใครในยามนี้

เราจะรู้ค่าว่าใครของจริง ใครของแท้
ก็ต่อเมื่อ เราได้สูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว
เราจึงจะรู้สึกได้ว่า
เขามีค่าที่สุดสำหรับเรา

กลับบ้านดีๆนะที่รัก
ทานข้าวหรือยัง
จะกินอะไรไหม
เหนื่อยไหม
พี่ไปรับไหม
พี่จะรอกินข้าวพร้อมกันนะ

คำพูดเหล่านี้ ทำไมเรามองมันว่าไร้สาระ น่าเบื่อหน่าย
ทั้งที่มันเป็นความห่วงใยจากคนที่รักเราที่สุด
แต่เรากลับไม่เห็นความสำคัญ
ไม่ใส่ใจ ไม่ดูแลน้ำใจเขาที่มีต่อเรา
เราทอดทิ้งเขา จนเขารู้ว่าเขาไม่มีความสำคัญ
และเขาก็เดินจากเราไป โดยไม่มีวันหันหลังกลับมาอีกเลย

มันเป็นความเจ็บปวดที่เราได้รับ จากการกระทำของเราเอง
บัดนี้ เราทุกข์ เราหม่นหมอง
เราต้องการได้ยินคำพูดเหล่านั้น
แต่เขาคนนั้น
คนที่เป็นเจ้าของคำพูด
เขาไม่อยู่แล้ว
เขาจากเราไปแล้ว
ทั้งที่เขารักเรา ห่วงเรา ดั่งแก้วตาดวงใจ
ดูแลความรู้สึกเรา ตลอดเวลา 
ทั้งหลับหรือตื่น
เขาไม่เคยเอาใจออกห่างเราเลย
แต่เราเสียอีกที่กลับมองว่า น่ารำคาญ

ที่รักจ๋า ถ้าย้อนเวลาได้
ฉันอยากให้เธอกลับมา
ฉันขอสัญญาว่าจะเก็บทุกคำพูดของเธอไว้ในใจ
และจะใส่ใจดูแลเธอ ด้วยรักเช่นเดียวกัน
เหมือนที่เธอทำให้กับฉัน

เธอยังรักฉันอยู่ไหม
เธออยู่ที่แห่งใด
เธอกำลังอยู่กับใคร
กินข้าวกับใคร
ดูทีวีกับใคร
ฉันรัก และคิดถึงเธอจังคนดี

นี่คงเป็นบาปกรรมที่ฉันสร้าง
แม้มีคนที่รักเราที่สุดอยู่ข้างๆ
คอยดูแลเราตลอดเวลา
แต่กรรมมาบังตา
ให้ฉันมองไม่เห็นคุณค่าของเธอ

ถ้าเธอได้อ่านบทความนี้
ขอให้เธอจงรู้ว่า
ฉันรักเธอ
และฉันทุกข์ทรมานในยามที่ไม่มีเธอมาพูด มาคอยดูแล
มาคอยห่วงใย ถามไถ่ สารทุกข์ สุกดิบ
ฉันพลาดไปแล้วที่รัก ฉันผิดไปแล้วคนดี

ฉันไม่หวังเกินเลยว่า
จะให้เธอนั้นกลับมาหาฉัน
แต่ฉัน ก็หวังไว้ว่า เธอจะให้อภัยฉัน
ในสิ่งที่ฉันได้กระทำลงไปต่อเธอ

อภัยฉันนะคนดี
และของให้เธอจงมีความสุข ตลอดไป

จากฉัน








วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

อย่าเดินหลงทาง


บางครั้ง
เราก็เที่ยวเสาะแสวงหาแต่คนที่เข้าใจและรู้ใจเรา
ทั้งที่บางครั้ง ตัวเราเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย
แล้วนับประสาอะไร จะให้คนอื่นมาเข้าใจเราได้ดี
เพราะแม้แต่เราเองแท้ๆยังไม่สามารถ ทำอย่างนั้นได้

หลายครั้งหลายครา
ที่เราสะดุดหกล้ม เจ็บช้ำน้ำใจ
ถ้าลองย้อนเวลามองดูให้ดี
ก็อาจจะเห็นว่า ตัวเราเองก็มีส่วนทำให้ตัวเองสะดุดล้ม
บางครั้งก็เดินเตะขาตนเองล้มทั้งยืน
บางครั้งก็โยนสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตออกไปจากตัวเอง
และชักนำสิ่งที่แย่ที่สุดเข้ามาหาตัวเอง

คนเราก็มักจะเป็นอย่างนี้
มักจะมองเห็นแต่สิ่งไกลตา
แต่สิ่งที่อยู่ใกล้ตา กลับมองไม่เห็นไปเสีย
หลายครั้งมัวปีนป่าย
หลายครั้งมัวแต่วิ่งไขว่คว้า
ทั้งที่ความเป็นจริง
สิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง
วางกองอยู่ข้างกายเรานั่นเอง
หลายครั้งนั่งร้องไห้ฟูมฟาย
เพราะมัวแต่ไปโทษคนอื่น 
ทั้งที่เดินสะดุดขาตัวเองล้มลง
จงหันกลับมาสำรวจตรวจตรา
ตัวเองอีกสักครั้ง
ก่อนจะชี้หน้าด่าทอใคร
เพราะบางทีคนที่สมควรถูกด่า
ก็อาจจะเป็นตัวของเรานั่นเอง






วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

ความรักไม่ใช่ตู้เกมส์แต่เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ


หลายชีวิตบนโลกใบนี้
บางทีมันมีจุดเปลี่ยนแปลง อยู่แค่เสี้ยววินาทีของการตัดสินใจเท่านั้นเอง
ดังนั้นการตัดสินใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การตัดสินใจที่ดีต้องตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่ดี ถูกต้อง
และเล็งเห็นผลที่จะเกิด จะตามมาในอนาคตว่า
เราจะสามารถ รับมือได้ หรือยอมรับผลของมันได้หรือไม่

การตัดสินใจในเรื่องหลายอย่าง
มันเป็นการตัดสินแค่เพียงครั้งเดียว
พลาดแล้วพลาดเลย ไม่สามารถย้อนเวลามาใหม่ได้

แต่การตัดสินใจหลายอย่างก็สามารถ
ตัดสินใจซ้ำลงไปอีกครั้งได้ เมื่อเรามีฐานข้อมูลที่เพียงพอครบถ้วน
อาทิ เมื่อเราตัดสินใจ เลือกใครเป็นคู่ชีวิต
มันก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะตัดสินใจถูกต้องในครั้งเดียว
เพราะสาเหตุหลักก็คือ ฐานข้อมูลของเรา
บางทีอาจมีไม่มากพอ เช่นไม่รู้จักนิสัยใจคอกันดีพอ
หรือตัดสินใจบนฐานอิทธิพลความคิดของผู้อื่นเป็นต้น

เมื่อเราได้ตัดสินใจนั้นลงไปแล้ว
แน่นอนสิ่งที่จะตามมาคือมีทั้งบวกและลบคู่กัน
เมื่อเราใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว มันไม่ใช่
ชีวิตมันไม่มีความสุข
บ้านมันไม่เป็นบ้าน
บ้านทุกตารางนิ้วมันลูกเป็นไฟ

การที่เราตัดสินใจมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
มันไม่ได้หมายความว่า เราจะยอมจำนนต่อโชคชะตากรรม
หรือมันไม่ได้หมายความว่า เราสูญเสียสิทธิ เสรีภาพในการตัดสินใจนั้นไปเลย
มันไม่ได้หมายความว่า เราจะมาเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์ทนหวานอมขมกลืน
อยู่ตลอดไปก็หาไม่

แต่เมื่อใดที่เราได้เห็นข้อมูลที่เป็นจริง
ข้อมูลที่ถูกต้อง ข้อมูลจากประสบการณ์ตรงของเรา

แล้วเราคิดว่าที่ผ่านมามันไม่ใช่ และมันไปต่อไม่ได้
เราก็ไม่จำเป็นต้องฝืนมัน
เราไม่จำเป็นต้อง ลอยตามชะตากรรมตามที่ใครเล่าอ้าง

เราสามารถ ตั้งหลักใหม่ ตัดสินใจใหม่อีกครั้งได้
จนกว่าเราจะได้สิ่งที่ถูกต้องที่สุด ดีที่สุดสำหรับเรา
การที่เราตัดสินใจหนีสิ่งไม่ถูกต้อง แล้วไปหาสิ่งที่ถูกต้อง
มันมิใช่ความผิด แต่เป็นสิทธิที่เราพึงมี พึงได้
มันจะเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่ายมากกว่าทนฝืนกันต่อไปทั้งที่มันไม่ใช่

ไม่มีใครมีความสุขจากการทนฝืนนั้นเลย
เมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่ เราก้ถอย และต่างฝ่ายต่างคืนชีวิต คืนสิทธิให้แก่กันและกันเสีย
คืนอนาคตและชีวิตที่เหลือให้แก่กัน
จากกันด้วยดี
แน่นอนสิ่งที่จะตามมาคือ
หากมีลูกเต้าติดตัวมา

ลูกเต้าที่ติดตัวมา คือบทบาทและหน้าที่
ที่ธรรมชาติกำหนดมาให้เราเป็นพ่อ เป็นแม่
จงอย่าปฏิเสธความรับผิดชอบนั้น และจงทำหน้าที่นั้นต่อไปให้ถึงที่สุด แม้ว่า
เราสองฝ่ายจะแยกย้ายจากกันไป ก็ไม่ได้หมายความว่า
มันจะหยุดเส้นทางของสายเลือดได้

มีผู้บอกว่าความรักไม่ใช่ตู้เกมส์
หยอดเหรียญเล่นใหม่ไม่ได้
จบแล้วจบเลย
สำหรับฉันเห็นว่า
ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่
ตราบนั้นเรายังต้องการความรักจากใครก็ได้ที่เราเห็นว่าเหมาะสม
และพร้อมจะไปร่วมทางกับเราจนตลอดปลายทาง
ความรักไม่ใช่ตู้เกมส์ แต่มันก็เริ่มต้นใหม่ได้เสมอสำหรับฉัน




วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทบาทและหน้าที่


มนุษย์เราทุกคน
เมื่อเกิดมาบนโลกนี้แล้ว
ต่างล้วนมีบทบาทและหน้าที่เป็นของตัวเองทั้งสิ้น
ผู้หญิงทุกคน
ต่างก็มีบทบาทเป็นทั้งภรรยา
บทบาทการเป็นแม่ที่ดี
บทบาทการเป็นครูสำหรับลูก
และอีกหลายบทบาทหน้าที่

ผู้ชายทุกคนก็เช่นกัน
บางคนก็อาจมีบทบาทเป็นผู้นำองค์กร
แต่อีกบทบาทก็คือเป็นพ่อของลูก
และก็เป็นลูกของพ่อแม่เราด้วย
เป็นสามีที่ดี

บทบาทที่เราได้รับนั้น
มักจะมาพร้อมกับหน้าที่ หน้าที่ที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละบทบาทที่เราได้รับ
ในสังคมมากน้อยแตกต่างกันไป

ดังนั้นโดยธรรมชาติของมนุษย์
อริสโตเติล บิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์กล่าวไว้ว่า
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม

หมายถึงมนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยตัวเองเพียงลำพัง
นับตั้งแต่ลืมตาดูโลก มนุษย์ก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย
และมนุษย์ยังต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโต
ใช้เวลาในการเรียนรู้นานมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นในโลกนี้

จนกว่าจะพ้นมือพ่อมือแม่
มนุษย์ใช้เวลาในการเจริญเติบโตจนสามารถ
พึ่งพาตนเองได้นั้น อายุก็เลยเข้าไปกว่า 20 ปี หรือ 30 ปี
บางทีแม้มีครอบครัวแล้ว
บางคนยังต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่อีกร่ำไปในการดำรงชีวิต

สิ่งเดียวที่มนุษย์ไม่ต้องเรียนรู้ก็คือ การร้องไห้เท่านั้นเอง
มนุษย์สามารถร้องไห้ได้ตั้งแต่เกิดลืมตาดูโลกแล้ว

เมื่อวงจรชีวิตมนุษย์ถูกกำหนดให้อยู่กันเป็นสังคม
อยู่ร่วมกับผู้อื่น พึ่งพาผู้อื่น
ต้องการความรัก ความห่วงใยจากผู้อื่น
ต้องการการถ่ายทอดความรู้วิทยาการจากผู้อื่น
จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่มนุษย์จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

เมื่อธรรมชาติกำหนดบทบาทและหน้าที่ให้เรามา
แล้วประโยชน์อะไรที่เราจะฝืนธรรมชาติเหล่านั้น
เขากำหนดให้เรารัก ชอบ โกรธ เกลียด
นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาเมื่อเราปฏิสัมพันธ์กันทางสังคม

การฝืนตัวเองไม่ให้รักใคร ทั้งที่ใจรัก
การฝืนตัวเองว่าไม่ต้องการความอบอุ่น ความปลอดภัยทั้งที่ใจต้องการ
การฝืนตัวเองไม่อยากเป็นแม่ ทั้งที่ตัวเราเองมีคุณสมบัติของแม่ที่ดีอยู่ในตัว
การฝืนตัวเองไม่อยากมีครอบครัว ไม่อยากเป็นพ่อทั้งที่เรามีคุณสมบัติของความเป็นพ่อ
ตามธรรมชาติแล้ว
การฝืนตัวเองไม่อยากเป็นภรรยาใครซักคน
การฝืนตัวเองไม่อยากเป็นสามี
เหล่านี้เป็นการฝ่าฝืนกฎธรรมชาติ
เป็นการละเลยต่อหน้าที่ที่ธรรมชาติมอบหมายให้

การเกิดมาเป็นคน
ถึงแม้จะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง
แต่เมื่อเราได้สวมบทบาทหน้าที่นั้นแล้วอย่างน้อยเราก็ได้ชื่อว่าทำหน้าที่
เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นผู้ให้กำเนิดชีวิต เป็นผู้ให้การอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูคน
เป็นสามี เป็นภรรยา
เมื่อเราได้ทำหน้าที่นั้นแล้วก็ชั่งเถิดอะไรจะเกิดขึ้นตามมา
เมื่อเรามีรักมีใจ 
เราก็ไม่ควรห้ามหักใจฝ่าฝืนมัน
มันจะสมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง
อย่างน้อยก็เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า เราเป็นสิ่งมีชีวิต
มีหัวจิต มีหัวใจ มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก

ประโยชน์อะไรถ้าเราสามารถทำหน้าที่ในบทบาทนั้นได้แต่เรากลับไม่ทำ
มีความสุขอะไรกับการได้นั่งเหงามองกำแพงฝาบ้านเพียงลำพัง
ไร้เสียงคนคอยถามไถ่ ว่าเหนื่อยไหม สบายดีอยู่ไหม

ความสุขอะไรกับการนั่งดูจอทีวีคนเดียวทุกวี่วัน
นั่งหัวเราะคนเดียว บ่นคนเดียว
มันเหมือนคนบ้า ที่ปล่อยให้เวลาทำลายตัวเอง
และฝืนตัวเองอยู่กับความเงียบเหงานั้น
ทั้งที่เราถูกธรรมชาติกำหนดให้เรามา เป็น พ่อ เป็นแม่
เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ให้ เป็นผู้ถ่ายทอดจิตวิญญาณของพ่อแม่ ปู่ย่าตายายเรา
ผ่านไปยังรุ่นต่อไปทางสายเลือด ให้สืบต่อกันไป แล้วเรื่องอะไรเราต้องเป็นผู้ตัดตอน
เส้นทางชีวิตของบรรพชนเราที่เลี้ยงดูเรามา ให้ชีวิตใหม่เกิดขึ้น
และสืบต่อกันไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า
เพราะนี่เป็นบทบาทของเราเหล่ามนุษย์ที่ธรรมชาติบทบาทให้เรามา
แล้วทำไมเราจึงต้องไปฝืนบทบาทที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้







วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

อานุภาพความงาม


ดอกไม้
ก็เหมือนสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา
เพื่อลดความก้าวร้าวในจิตใจของคนเราลงนั่นเอง

ลองตรองดู
ถ้าโลกนี้ไร้ซึ่งดอกไม้หลากสีสัน
ชีวิตคนเราบนโลกนี้
มันจะหม่นหมองสักเพียงใด
ดอกไม้จึงเป็นเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจเรา
แม้ยามแข็งกร้าว
แม้ยามหยาบกระด้าง
ก็ผ่อนคลายลงได้ในใจ

ดอกไม้ส่วนใหญ่ ผลิดอกออกบานในหน้าหนาว หน้าร้อน หน้าแล้ง
ต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นช่วงที่ บรรยากาศค่อนข้าง
สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง
เป็นความยุติธรรมหนึ่งซึ่งธรรมชาติ สร้างดอกไม้ขึ้นมา
ประดับไว้บนโลกใบนี้ ในยามที่บรรยากาศรุนแรง
เมื่ออากาศร้อนๆ
มองไปรอบข้าง
ก็จะเห็นดอกจาน หรือดอกทองกวาวสีแดงสดใส
หรือดอกพยอมหอมกรุ่นเต็มต้น
หรือสีเหลืองอร่ามจากดอกคูณ
มันก็ทำให้หัวใจเรา ลดดีกรีความร้อนแรงลงได้
โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
นี่จึงเป็นความสำคัญของความงาม ความอ่อนหวาน
ที่มักมีผลทางใจเราเสมอว่าไหม









วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

ชีวิตคู่ภาพจริงหรือมโน


การใช้ชีวิตคู่
เปรียบไปก็เหมือนกับการเดินทางไกล
แน่นอนว่าระหว่างทางมักจะมีอุปสรรค
น้อยใหญ่มากมาย มาให้ร่วมกันฟันฝ่า

หลายคู่หลายคน ท้อแท้กลางทาง
หลายคู่หลายคนเมื่อถึงจุดที่ต้องตัดสินใจ
ก็เลือกที่จะตัดสินใจให้ตัวเองรอด

หลายคู่กอดคอกัน ประคับประคองกัน
ไปจนถึงเป้าหมายสุดท้ายของชีวิต
บางคู่ล้มเหลว ต้องแยกย้ายกันกลางทาง
บางคนถอดใจ หันหลังเดินกลับ
บางคน ต้องหมดลมจากไปกลางทาง
ปล่อยคู่ของตนเอง ให้เดินเผชิญโชคชะตา
อยู่อย่างเดียวดายเพียงลำพัง

การเดินทางไกลหรือการใช้ชีวิตคู่
มันเป็นเรื่องของความเข้าใจ ความอดทน
ความมุ่งมั่น ความมั่นคง และที่สำคัญมันต้องมีคำว่าอุดมการณ์
ที่จะสร้างครอบครัวและรักษาชีวิตคู่แฝงอยู่ในนั้นด้วย
มิเช่นนั้น ก็จะเกิดถอดใจกลางทาง เมื่อพบเจออุปสรรค

การที่เราจะเดินร่วมทางกันได้จนแก่เฒ่าและตายจากกันได้นั้น
มันต้องมีพื้นฐานมาจากการเลือกคู่เสียก่อน
ถ้าการเลือกคู่ของเราถูกต้องมาแต่ต้น
คือเลือกจากพื้นฐานของความรัก
เลือกจากพื้นฐานของความเข้าใจกัน
เลือกจากพื้นฐานของความเหมือนกัน เช่น
นิสัยใจคอ ทัศนคติ วิธีคิด
ภูมิหลัง สังคมวัฒนธรรมที่ไม่ต่างกันมากนัก
หรือเลือกจากความต่าง
คือส่วนที่ต่างนั้น เป็นส่วนที่เราขาดหายไป
เราเลือกความต่างนั้น เพื่อจะให้มาเติมเต็ม
ส่วนที่ขาดหายไปให้เรา เป็นต้น

แต่...

ถ้าเราเลือกเพราะยังไงก็ได้
เลือกเพราะประชดชีวิต
เลือกเพราะอกหักผิดหวัง
เลือกเพราะครอบครัว
เลือกเพราะคนอื่นเลือกให้

การเลือกคู่ลักษณะนี้
แม้จะอยู่กันได้ในระยะหนึ่ง
แต่ในระยะยาวก็จะล้มเหลว
เพราะไม่ได้เลือกจากพื้นฐานของคำว่ารัก
ไม่ได้เลือกจากพื้นฐานความต้องการที่แท้จริง
ของจิตใจส่วนลึกของตัวเอง
เลือกเพราะรูปลักษณ์ หรือฐานะ
ความรู้สึกวูบวาบชั่วครั้งคราว

การเลือกคู่ลักษณะนี้
เมื่อเวลาผ่านไป
เมื่อจิตใจของเราปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว
เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว 
เราก็จะรู้สึกว่า
มันยังมีปมอยู่ในใจลึกๆของเรานั้นอยู่
นั่นก็เพราะเราทำผิดแต่แรก

การแก้ปัญหาดังกล่าวจะทำอย่างไร
เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง
หลายคนเลือกที่จะเดินต่อไป 
โดยให้เหตุผลว่า ก็เสียเวลามาแล้ว เดินมาไกลมากเกินกว่าจะกลับแล้ว

บางคนก็ตัดสินใจ ทำผิดให้เป็นถูกเสีย
เมื่อรู้ว่าผิดก็ยอมรับและแก้ไขให้มันถูกต้อง
จะเจ็บบ้าง จะเสียเวลาบ้าง
ก็ยังดีกว่า ลากความไม่ถูกต้องนั้นให้ยาวอยู่ต่อไป
เป็นปัญหา เป็นภาระของคนรุ่นหลังอีก
เมื่อเห็นสิ่งผิด ก็แก้ไขเสีย
เจ็บที่เรา
แต่เมื่อแผลหายแล้ว ทุกอย่างมันถูกต้อง
ที่ควรจะอยู่ก็อยู่ ที่ควรจะไปก็ไป
ถูกฝาถูกตัว ดีกว่าทนฝืนอยู่กับสิ่งผิดอีกต่อไป

ชีวิตคู่ ไม่ใช่ภาพฝัน
การรักชอบครั้งแรกส่วนมาก เกิดขึ้นจากภาพฝัน
เห็นหญิงสาวหน้าตาดี ชายหนุ่มหน้าตาดี
ก็แอบมะโนภาพฝันขึ้นในใจ
ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
พอได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้ว
มันไม่เป็นตามที่ตัวเองวาดฝัน
ก็จะผิดหวัง และร้างราในที่สุด
เพราะเราหลงอยู่กับภาพสวยงาม
ภาพที่เราทุกคนอยู่นอกบ้าน

เราลืมคิดถึงภาพความจริงที่เราอยู่ในบ้าน
ชีวิตในบ้าน ปากก็ไม่แดง แก้มก็ไม่ทา
เสื้อผ้าก็หมองเก่า
ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง
ตื่นเช้ามา ผมเผ้าพันกัน
หน้ายับหน้าเยิน
มีผายลม มีขับถ่าย
มีเรอ มีไอจาม มีกรนเวลานอน
มีป่วยไข้ มีโรคภัย
มันไม่ได้สวยงามเหมือนภาพที่เห็นนอกบ้าน

ถามว่าภาพที่ว่านี้ เป็นภาพจริงหรือภาพหลอน
มันเป็นภาพจริงของคนเราทุกคน
ภาพนอกบ้านต่างหากเป็นภาพหลอน
และถามต่อว่าแล้วคุณรับภาพจริงนั้นได้หรือไม่
คุณยอมรับหรือไม่ว่าคนเรา มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงบ้างบางเวลา
มีโกรธ หงุดหงิด โมโห ร่าเริง หัวเราะ
มีป่วยไข้ มีแก่ มีเจ็บตามสภาพตามเวลา
ถ้าคุณรับภาพจริงนั้นได้ ชีวิตคู่ของคุณก็สำเร็จไปกว่า 90เปอร์เซ็นต์แล้ว
มันขึ้นอยู่กับว่า เราเลือกคู่จากภาพหลอนหรือภาพจริงกันแน่
นี่ต่างหากคือคำตอบในอนาคตของชีวิตคู่เรา



เพลงภาพรักหลอมใจ-ที่รักจ๋า
สายัณห์ สัญญา ขับร้อง






วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558

มุมมองเปลี่ยนทัศนะก็เปลี่ยน



บางครั้ง
การที่เราจมปรักอยู่ตรงจุดใดจุดหนึ่งเป็นเวลานนานเกินไป
มันก็ทำให้เรา ตื้อ ตีบตัน 
หรือเคร่งเครียด ได้เหมือนกัน
ดังนั้น
เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกว่า เรานั่ง หรือ ยืนอยู่ตรงนี้ หรือจุดนี้
เป็นเวลานานแล้ว
ก็ถึงเวลาที่เราควรจะต้อง
ลุกขึ้น ยืน หรือก้าวเดินออกไปเสียจากจุดเดิมดูบ้าง
บางที การเปลี่ยนจุดยืนไปจากเดิม
มันอาจทำให้ มุมมอง ทัศนคติของเรา เปลี่ยนไปในทางดีขึ้น
เพราะเราได้มองเห็นสิ่งที่เรายังไม่เคยเห็น
มันทำให้ระบบสมองระบบความคิดเราดีขึ้น

มันก็เหมือนกับ การที่เรายืนอยู่คนละฝั่งของเหรียญ
โดยที่เราไม่เคยก้าวขาออกไปอีกฝั่งเลย
เราก็จะมองเห็นเหรียญด้านเดียว
เฉพาะฝั่งที่เรายืนอยู่เท่านั้น
ในขณะที่ อีกคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของเหรียญ
ก็จะยืนยันสิ่งที่ตนเองเห็นเช่นกัน
ว่าเหรียญที่ถูกต้องเป็นเหมือนที่เขาเห็นอยู่

มันไม่มีใครผิดใครถูก
เพราะทุกคนพูดในมุมมอง และสิ่งที่ตนเองเห็นและมีอยู่เท่านั้น
แต่ถ้า จะดี สองคนนี้ควรลุกเดินสลับที่
มาอยู่อยู่อีกด้านของเหรียญดู
ก็จะรู้ว่า อ๋อที่แท้ ผิดที่เรานี่เอง

ยิ่งถ้าได้เดินจากเหรียญนั้นไป
แล้วหันมองกลับมา
ก็จะรู้ได้ว่า
เหรียญที่เรายืนเฝ้ามาตั้งนาน มันมีขนาดเล็กน้อยนัก 
เมื่อเทียบกับโลกใบนี้
มันมีสิ่งสวยงาม ที่รอให้เราค้นหา สัมผัสมากมาย
ขอเพียงแค่เราพร้อมที่จะละทิ้งจุดยืนนั้นหรือไม่

มีสิ่งใหม่ แนวคิดใหม่ ทัศนคติใหม่
พร้อมให้เราเรียนรู้ อยู่เสมอ ในโลกใบนี้
ขอเพียงแค่เราก้าวไป และอย่าหลงระเริงไปกับสิ่งใหม่นั้น
จนลืมความพอดี ความถูกต้อง  เท่านั้นเอง 
แล้วเราก็จะพบทางสว่าง ทางสุขเสมอ






วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558

จุดเปลี่ยนของชีวิต


เชื่อหรือไม่ว่า
การที่เราได้รู้จักใครซักคน
หรือมีใครซักคน เดินเข้ามาในชีวิตเรา
มันทำให้เรา เปลี่ยนไป
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เช่นดีขึ้น
สดใส ร่าเริงขึ้น
มีชีวิตชีวา มีความรุ้สูงขึ้น 
เป็นคนใฝ่เรียนรู้มากขึ้น
หรือ ตกต่ำ แย่ลง
ชีวิตตกอับ มัวหมอง
มีราคี หมองตรม
เดือดร้อน

ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้
ไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง
สาเหตุหนึ่ง นั่นก็เพราะว่า เราคบอยู่กับใคร
หรือกำลังรู้จักกับใคร

แน่นอน พฤติกรรมของคนคนนั้น
มักจะมีอิทธิพล กระทบมาถึงเรา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ซึ่งบางครั้งมันอาจรวมถึงเป็นการเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเราไปเลยก็ได้
หรือกลายเป็นจุดบอด จุดหักเห ของเส้นทางชีวิตเรา

เราลองตรองดูเถอะว่า
ปัจจุบันชีวิตเราเป็นอย่างไร
ตกอับ ดีขึ้น อยู่ตัว
เดินหน้าหรือถอยหลังไม่ได้

ทั้งหมดนี้ มักมีสาเหตุมาจากคนที่มีบทบาท มีอิทธิพลเหนือเรา
ที่เข้ามาในชีวิตเรานั่นเอง

การคบใครซักคน
มันจึงเป็นเรื่องใหญ่
ที่ผลตามมาคือ หมายถึงจุดหักเห
หรือจุดเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตเราเลยทีเดียว
ดังนั้นอย่ามองข้าม ประเด็นนี้ไป
เพราะอนาคต ส่วนใหญ่ ผลมันมักจะมีต้นทางไปจากปัจจุบันนี้ทั้งสิ้น
รวมไปถึง ร่องรอยในอดีตของเราด้วย ก็จะถูกเขียนไว้จากปัจจุบันนี้นั่นเอง